แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าการเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่า ศาลฎีกาพิพากษายืน เมื่อสัญญาจ้างระหว่างโจทก์จำเลยข้อ 3 กำหนดว่าลูกจ้างจะต้องพ้นหน้าที่เมื่อมีอายุ 30 ปีบริบูรณ์ กรณีจึงต้องอยู่ในบังคับตามความในข้อ 3 ของสัญญาจ้างดังกล่าวอันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างด้วย จำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2529 โจทก์มีอายุครบ 30 ปีบริบูรณ์วันที่ 23 เมษายน 2529 ในชั้นบังคับคดี ขณะนั้นโจทก์มีอายุเกิน 30 ปีแล้ว จำเลยได้มีคำสั่งที่ 08/2530 ให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2529 ถึงวันที่โจทก์มีอายุครบ 30 ปีบริบูรณ์ กับได้จ่ายค่าจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยนำมาวางศาลดังนี้ ถือว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนและถูกต้องแล้ว การบังคับคดีเป็นอันสิ้นสุด ที่โจทก์จำเลยได้ทำข้อตกลงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นเรื่องนอกเหนือจากคำพิพากษา ไม่อาจนำมาบังคับในคดีนี้ได้.(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 397/2524)
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือเทียบเท่า โดยมีอัตราค่าจ้างเท่าเดิม และให้จำเลยจ่ายค่าจ้างในอัตราเดือนละ ๘,๔๔๕ บาทตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๙ เป็นต้นไปให้แก่โจทก์จนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงาน ศาลฎีกาพิพากษายืน คดีถึงที่สุดศาลแรงงานกลางออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน ๗ วัน ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันต่อหน้าศาลตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลจดไว้ในรายงาน ฯ วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ ว่า จำเลยตกลงให้เงินช่วยเหลือโจทก์จำนวน ๖ เท่าของเดือน และตกลงรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานห้องสมุดตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๐ ในอัตราค่าจ้างเดือนละ ๓,๕๔๐ บาทโดยนับอายุงานใหม่ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนรายงาน ฯ ดังกล่าวว่าเป็นกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ และขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยขอให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา
ศาลแรงงานกลางเห็นว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ มิใช่กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ จึงไม่เพิกถอนให้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันโจทก์ด้วยเหตุประการใดเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวกับจำเลยต่างหาก จำเลยอ้างว่าได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้วนั้น เห็นว่าไม่ถูกต้องเพราะจำเลยจะบรรจุโจทก์เข้าทำงานใหม่ย้อนหลังไปเช่นนั้นไม่ได้ จะบรรจุเมื่อใดก็ต้องเป็นวันนั้น จึงมีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน ๑๕ วัน
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
จำเลยอุทธรณ์แผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาจ้างฉบับลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๒๑ โดยความในข้อ ๓ กำหนดว่า…..ฯลฯ ลูกจ้างทราบแล้วว่าลูกจ้างต้องพ้นหน้าที่เมื่อลูกจ้างมีอายุครบ ๓๐ ปีบริบูรณ์…..ฯลฯ เช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่า การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม หรือเทียบเท่าตำแหน่งเดิมต่อไปนั้น กรณีจะต้องอยู่ในบังคับตามความในข้อ ๓ ของสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์จำเลยฉบับดังกล่าว อันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างด้วย คือจำเลยจะต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานจนกว่าโจทก์จะมีอายุครบ ๓๐ ปีบริบูรณ์ ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ต้องพ้นหน้าที่เท่านั้นคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางหาได้กำหนดให้จำเลยต้องจ้างโจทก์ตลอดไปโดยไม่ต้องบังคับตามสัญญาจ้างนั้น ไม่เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๙ ซึ่งโจทก์มีอายุครบ ๓๐ ปีบริบูรณ์ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๒๙ และจำเลยได้มีคำสั่งที่ ๐๘/๒๕๓๐ เรื่องให้รับพนักงานกลับเข้าทำงาน โดยให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๙ เป็นต้นไปจนถึงวันที่โจทก์มีอายุครบ ๓๐ ปีบริบูรณ์ ตามสัญญาจ้างแรงงานฉบับลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๒๑ กับได้จ่ายค่าจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวให้แก่โจทก์ โดยนำมาวางศาลไว้เพื่อชำระให้แก่โจทก์ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยครบถ้วนและถูกต้องแล้ว การบังคับคดีจึงเป็นอันสิ้นสุด ส่วนที่โจทก์จำเลยได้ทำข้อตกลงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ นั้น เป็นเรื่องนอกเหนือจากคำพิพากษา จึงไม่อาจที่จะนำมาบังคับในคดีนี้ได้ เทียบได้ตามนับคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๙๗/๒๕๒๔
พิพากษากลับ ให้ยกคำขอบังคับคดีของโจทก์.