แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยเป็นเพียงเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายมิใช่พนักงานสอบสวนจึงไม่มีหน้าที่หรือสิทธิใด ๆ ที่จะไล่โจทก์ออกจากห้องพนักงานสอบสวนได้การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งจะมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เมื่อข้อหาตามมาตรา 157 ไม่มีมูลความผิดดังกล่าวแล้วข้อหาฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จึงมิใช่ความผิดอันเกี่ยวพันกับข้อหาตามมาตรา 157 ซึ่งโจทก์จะมีสิทธิฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจชำระในความผิดซึ่งมีอัตราโทษสูงกว่าได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 24
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายจำเลยได้จับกุมนายม้วนกับพวกส่งพนักงานสอบสวน ขณะที่โจทก์อยู่ในห้องพนักงานสอบสวนด้วย จำเลยได้ถามนายม้วนผู้ต้องหาว่า คุณเอาคนนี้เป็นทนายหรือเปล่า นายม้วนตอบว่าเป็นทั้งทนายและที่ปรึกษา จำเลยได้พูดต่อหน้าผู้อื่นว่า “ถ้าไม่เอาเป็นทนายก็จะไล่ออกจากห้องไปเลย”หมายความว่าจะไล่โจทก์ออกไปจากห้องพนักงานสอบสวน และพูดอีกว่า”เสือกเข้ามาในห้องนี้ทำไม” อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 157, 326
ศาลชั้นต้นสั่งฟ้องโจทก์ว่า ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 เป็นคดีอยู่ในอำนาจศาลแขวง ไม่รับไว้พิจารณา ส่วนข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ไม่เป็นความผิดให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อหาฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157ได้ความตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์เองว่า จำเลยเป็นเพียงเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย จำเลยมิใช่พนักงานสอบสวนไม่มีหน้าที่หรือสิทธิใด ๆ ที่จะไล่โจทก์ออกจากห้องพนักงานสอบสวนได้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งจะมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เทียบได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 117/2516 ระหว่างนายอิศรา เมษะปะบุตร โจทก์ ร้อยตำรวจเอกประณต เขียวสนั่น กับพวก จำเลย และตามสำนวนปรากฏว่า ศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาสองนายเป็นองค์คณะสั่งยกฟ้อง หาใช่ผู้พิพากษานายเดียวมีคำสั่งดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้องโจทก์ในข้อหามาตรา 157 จึงชอบแล้ว ส่วนข้อหาฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 นั้น เมื่อข้อหาตามมาตรา 157 ซึ่งบรรยายฟ้องไม่มีมูลความผิดดังกล่าวแล้ว ข้อหาตามมาตรา 326 จึงมิใช่ความผิดอันเกี่ยวพันกับข้อหามาตรา 157 ซึ่งโจทก์จะมีสิทธิฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจชำระในความผิดซึ่งมีอัตราโทษสูงกว่าได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 24 และความผิดในข้อหานี้เป็นคดีอยู่ในอำนาจของศาลแขวงซึ่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(2) บัญญัติให้อยู่ในดุลพินิจของศาลจังหวัดที่จะไม่รับฟ้องในข้อหาดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้
พิพากษายืน