แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้ติดต่อชักจูงให้ผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศและรับเงินค่าใช้จ่ายบางส่วนจากผู้เสียหายไว้ ทั้งยังเป็นผู้เขียนแผนที่ให้ผู้เสียหายเดินทางไปหาพวกจำเลยที่กรุงเทพฯ เมื่อผู้เสียหายไม่ได้เดินทางไปทำงาน จำเลยก็เป็นผู้ติดต่อกับพวกจำเลยเพื่อให้คืนเงินแก่ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเข้าลักษณะที่แบ่งแยกหน้าที่กันทำในระหว่างจำเลยกับพวก และการที่จำเลยกับพวกรับเงินผู้เสียหายไปแล้วไม่ดำเนินการให้ผู้เสียหายได้เดินทางไปทำงานตามที่พูดรับรองไว้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยกับพวกไม่มีเจตนาที่จะจัดหางานให้แก่ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง จำเลยกับพวกเคยส่งบุคคลอื่นไปทำงานต่างประเทศโดยให้ถือหนังสือเดินทางนักท่องเที่ยวแล้วมีนายจ้างมาคัดเลือกไปทำงานเมื่อไปถึงโดยจำเลยกับพวกไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจจัดหางานจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางาน เพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343, 91, 83 พระราชบัญญัติจัดหางานฯ พ.ศ. 2528 มาตรา 30, 82จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 343 จำคุก 2 ปี และตามพระราชบัญญัติจัดหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 30, 82 จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 5 ปี จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาว่าจำเลยร่วมกับพวกอีก 1 คนกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่ โจทก์มีนายมี แก้วทาสี พ่อตาผู้เสียหายมาเบิกความว่า จำเลยได้เรียกนายมีเข้าไปพูดชักชวนให้ไปบอกผู้เสียหายไปทำงานที่ไต้หวันถ้าไม่มีเงินค่าใช้จ่าย จำเลยก็จะช่วยจัดการให้ นายมีจึงไปบอกผู้เสียหาย ผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อทราบจากนายมี จึงไปหายืมเงิน 15,000 บาท นำไปมอบให้แก่นายมี โดยมีนายพรม ผาดศรีผู้ให้ยืมเงินมาเบิกความสนับสนุน นายมีเบิกความต่อไปว่า หลังจากนั้นจำเลยได้มาถามนายมีว่าได้เงินหรือยัง นายมีบอกว่าได้มาแล้วแต่ยังไม่ครบ จำเลยให้นายมีไปที่บ้านจำเลยพบกับนายเอกชัยเตชะวงศ์ ซึ่งจำเลยบอกว่าเป็นเจ้าของบริษัทที่จะส่งคนไปทำงานต่างประเทศ นายเอกชัยให้วางเงิน 15,000 บาท เพื่อเป็นค่าวีซ่าและค่าตั๋วเครื่องบินก่อน นายมีจึงมอบเงินให้แก่จำเลย นายเอกชัยได้ทำใบรับเงินให้นายมีไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 หลังจากนั้นจำเลยได้พานายมีไปยืมเงินจากนายเตียง ปักกาเล จำนวน 20,000 บาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ โดยมีนางเตียงมาเบิกความสนับสนุนว่า นายมีกับจำเลยไปหานางเตียงที่บ้านนายมีขอยืมเงินเพื่อส่งผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศ จำเลยพูดกับนางเตียงให้นายมียืมเงิน เพราะจะยืมไม่นาน มีแหล่งจะหาเงินมาใช้คืนผู้เสียหายและนายมีเบิกความว่า ได้มอบเงิน 20,000 บาท ให้แก่จำเลย ต่อมาจำเลยได้เขียนแผนที่ให้ผู้เสียหาย นายทองม้วน สิงห์ทองและนายมา ศรัทธาดังซึ่งจะไปทำงานด้วยกันเดินทางไปหานายเอกชัยที่กรุงเทพมหานคร โดยมีนายทองม้วนและนายมามาเบิกความสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายและนายมีว่า จำเลยเป็นผู้ไปพูดชักชวนให้นายทองม้วนและนายมาไปทำงานที่ไต้หวัน และได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยคนละ 35,000 บาท หลังจากที่ไม่ได้เดินทางไปไต้หวันแล้ว จำเลยได้คืนเงินให้แก่นายทองม้วนและนายมาจึงไม่มีเหตุที่นายทองม้วนและนายมาจะมาเบิกความปรักปรำจำเลยส่วนผู้เสียหายนั้น หลังจากไม่ได้เดินทางไปไต้หวันแล้วผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยเป็นผู้ไปติดต่อกับนายเอกชัย แล้วนำเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขามหาสารคาม ลงวันที่ 5เมษายน 2530 สั่งจ่ายเงิน 30,000 บาทมามอบให้แก่ผู้เสียหาย ซึ่งต่อมาธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้เสียหายจึงไม่ได้รับเงินคืนเห็นว่าจากพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ติดต่อชักจูงให้ผู้เสียหายไปทำงานที่ไต้หวัน เป็นผู้รับเงินไปบางส่วนเขียนแผนที่ให้ผู้เสียหายกับผู้สมัครงานอื่นเดินทางไปหาพวกของจำเลยที่กรุงเทพมหานคร เมื่อผู้เสียหายไม่ได้เดินทางไปไต้หวันจำเลยก็เป็นผู้ติดต่อกับพวกของจำเลยเพื่อให้คืนเงินแก่ผู้เสียหายการกระทำของจำเลยดังกล่าวอยู่ในลักษณะที่แบ่งแยกหน้าที่กันทำในระหว่างจำเลยกับพวก หาใช่จำเลยเป็นแต่เพียงผู้แนะนำให้ผู้ประสงค์จะไปทำงานในต่างประเทศติดต่อกับผู้ที่จะจัดส่งเองโดยตรงดังที่จำเลยนำสืบต่อสู้ไม่ และการที่จำเลยกับพวกรับเงินไปจากผู้เสียหายแล้ว แต่ไม่ดำเนินการให้ผู้เสียหายได้เดินทางไปทำงานที่ไต้หวันตามที่จำเลยกับพวกพูดรับรองไว้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยกับพวกไม่มีเจตนาที่จะจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายได้ทำที่ไต้หวัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
ส่วนปัญหาว่าจำเลยร่วมกับพวกอีก 1 คน กระทำความผิดฐานประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลางหรือไม่นั้น โจทก์มีนายธีรพรสายสุวรรณ ซึ่งรับราชการตำแหน่งแรงงานจังหวัดมหาสารคามมาเบิกความว่า ทั้งจำเลยและนายเอกชัยพวกของจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานให้แก่คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ ซึ่งจำเลยก็มิได้นำสืบปฏิเสธในข้อนี้กับมีนายสุวรรณ อัปมาเก พยานโจทก์มาเบิกความว่าเมื่อเดือนมกราคม 2530 ได้ติดต่อกับจำเลยเพื่อให้จัดส่งไปทำงานที่ไต้หวัน เหตุที่ติดต่อจำเลยเพราะก่อนหน้านั้นเคยมีคนในหมู่บ้านไปทำงานที่ไต้หวัน โดยจำเลยกับนายเอกชัยเป็นผู้จัดส่งไป จำเลยได้บอกแก่นายสุวรรณว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่าย 35,000 บาท สำหรับงานที่จะไปทำเป็นการทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม มีกำหนด 1 ปี ได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 6,000บาท หากเจ้าของโรงงานดีก็สามารถต่อสัญญาได้เป็นรายปี นายสุวรรณเชื่อตามที่จำเลยบอก หลังจากนั้นนายสุวรรณก็ได้จ่ายเงินแก่นายเอกชัย ต่อมาวันที่ 15 มกราคม 2530 จำเลยกับนายเอกชัยก็ได้ไปส่งนายสุวรรณกับบุคคลอื่นอีกประมาณ 13 คน ขึ้นเครื่องบินไปที่ประเทศเกาหลี และพักอยู่ 4 วัน เพื่อทำวีซ่าเข้าไต้หวันเมื่อเดินทางต่อไปถึงไต้หวันก็มีนายจ้างมาคัดเลือกไปทำงานนายสุวรรณได้ทำงานที่โรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ ทำได้ 2 เดือน ก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจของไต้หวันจับกุมในข้อหาว่าวีซ่าหมดอายุเพราะออกในลักษณะนักท่องเที่ยว และถูกส่งตัวกลับประเทศไทย เห็นว่านายสุวรรณพยานโจทก์นี้เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับจำเลยบ้านอยู่ห่างกันประมาณ 1 เส้น หากจำเลยไม่ได้พูดจารับรองกับนายสุวรรณดังที่เบิกความมาแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่นายสุวรรณจะมาเบิกความปรักปรำจำเลย นอกจากนี้ก็ได้ความอีกว่า ยังมีนายประยงค์ แก้วทาสี บุตรของนายมี แก้วทาสี พยานโจทก์ที่ได้เดินทางไปพร้อมกับนายสุวรรณอีกคนหนึ่ง โดยนายมีพยานโจทก์ซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับจำเลยมาเบิกความอีกว่า จำเลยเป็นผู้ติดต่อให้นายประยงค์ไปทำงานที่ไต้หวัน ทั้งโจทก์ยังมีนายชา ทุนดี ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านจำเลยมาเบิกความว่าจำเลยกับนายเอกชัยนัดหมายผู้ที่มีความสนใจจะเดินทางไปทำงานยังต่างประเทศมาพูดคุยกันที่บ้านจำเลยหลายครั้ง ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ ดังนั้นเมื่อจำเลยกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง จึงมีความผิดในข้อหาฐานนี้ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน