แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของช. ในคดีแพ่งแต่คดียังไม่ถึงที่สุดเพราะโจทก์อุทธรณ์ข้อเท็จจริงยังรับฟังเป็นยุติไม่ได้จึงใช้ยันบุคคลภายนอกคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145(1)ไม่ได้ส่วนบทบัญญัติวรรคแรกที่ว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งใดๆให้มีผลผูกพันนับแต่วันที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวถูกเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเป็นเรื่องที่ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ถอนโจทก์จากการเป็นผู้จัดการมรดกจึงมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีแพ่งนั้นของศาลชั้นต้นไม่มีผลผูกพันถึงคู่ความในคดีนี้แม้จำเลยจะเป็นผู้ร้องขอให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในคดีดังกล่าวก็ตามแต่ก็เป็นคู่ความคนละคดีกันจำเลยจึงไม่อาจยกขึ้นอ้างอิงในคดีนี้ได้โจทก์ยังคงมีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของช. อยู่จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานปลอมตั๋วสัญญาใช้เงินของช. เป็นคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายเชวง ยังสุขตามคำสั่งศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 21395/2534 จำเลยได้กระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ ภายหลังจากที่นายเชวงถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2533 จำเลยเปิดตู้เซฟเอาตั๋วสัญญาใช้เงินเลขที่ 5/2532, 6/2532, 7/2532, 8/2532, 9/2532และ 10/2532 จำนวน 6 ฉบับ อันเป็นมรดกของผู้ตาย ซึ่งบริษัทฟาร์มกรุงไทย จำกัดได้ออกให้แก่ผู้ตายเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2532เป็นการชำระราคาที่ดินที่ผู้ตายขายที่ดินไปก่อนตาย จำเลยกับพวกได้สมคบกันปลอมลายมือชื่อของผู้ตายด้านหลังตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง6 ฉบับ เพื่อนำไปเบิกเงิน และจำเลยกับพวกได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งได้ปลอมลายมือชื่อผู้ตายดังกล่าวแล้วไปให้นายฉัตรชัย เกียรติสุขสถิตย์ เป็นผู้เรียกเก็บเงินจากธนาคารไทยทนุ จำกัด สำนักงานใหญ่ และธนาคารได้จ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวรวม 15,750,000 บาท จำเลยได้นำเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ของตนหรือผู้อื่น อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายกับนางอานิลนาฎ เสนีวงศ์โดยผู้ตายได้จดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 266, 268, 90 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกามีใจความว่า โจทก์ฟ้องจำเลยโดยใช้สิทธิในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกเป็นผู้เสียหาย มิได้ใช้สิทธิแห่งความเป็นทายาทเป็นผู้เสียหาย เมื่อโจทก์ถูกศาลแพ่งพิพากษาให้เพิกถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายเชวง ยังสุข ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2716/2536 แล้ว ประกอบกับการที่ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้นั้น เห็นว่า ในการไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ นางอานิลนาฎ เสนีวงศ์พยานโจทก์เบิกความไว้ด้วยว่า เอกสารหมาย ล.4 คำพิพากษาศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ 2716/2536 ที่เพิกถอนนางสาวชณาทิพย์(เป็นจำเลยคดีดังกล่าว และเป็นโจทก์คดีนี้) จากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายเชวง ยังสุข จำเลยได้อุทธรณ์และศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว ดังนั้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการยื่นอุทธรณ์ของโจทก์ในคดีดังกล่าวจึงมิใช่ข้อเท็จจริงนอกสำนวน เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น การที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวแล้วจึงเป็นการรับฟังที่ชอบด้วยเหตุผลแล้วฉะนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายเชวง ยังสุข ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2716/2536 ก็ตามแต่คดียังไม่ถึงที่สุด เพราะโจทก์อุทธรณ์คำสั่งในคดีดังกล่าวอยู่ข้อเท็จจริงยังรับฟังเป็นยุติไม่ได้ จึงจะใช้ยันบุคคลภายนอกคดีไม่ได้ ส่วนบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก ที่ว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้มีผลผูกพันนับแต่วันที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวถูกเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นนั้นเป็นเรื่องให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้นดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ถอนโจทก์จากการเป็นผู้จัดการมรดกจึงมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2716/2536ของศาลชั้นต้น หามีผลผูกพันถึงคู่ความในคดีนี้ไม่ แม้จำเลยจะเป็นผู้ร้องขอให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในคดีดังกล่าวก็ตามแต่ก็เป็นคู่ความคนละคดีกัน จำเลยจึงไม่อาจยกขึ้นอ้างอิงในคดีนี้ได้ทั้งนี้เพราะคำพิพากษาหรือคำสั่งเกี่ยวด้วยฐานะหรือความสามารถของบุคคลจะยกขึ้นใช้อ้างอิงหรือใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(1) ก็ต่อเมื่อเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดแล้วเท่านั้น เมื่อโจทก์ยังอุทธรณ์คำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2716/2536 ของศาลชั้นต้นและคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยังคงมีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของนายเชวง ยังสุข อยู่ จึงเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ และมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน