คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีอาญาเรื่องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2542 ให้จำคุกจำเลย 1 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2543 ได้อ่านคำพิพากษาดังกล่าวให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2543 จึงครบกำหนดยื่นฎีกาวันที่ 11 สิงหาคม 2543 ในระหว่างยื่นฎีกา จำเลยยื่นคำร้องขยายระยะเวลาฎีกา แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์คำสั่งและส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2543 ในขณะนั้นยังไม่แน่นอนว่าศาลอุทธรณ์จะขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยหรือไม่และหากศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกา และรับฎีกาจำเลยไว้พิจารณาแล้วคดีก็อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกายังไม่ถึงที่สุด เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 ในระหว่างที่คดีอาญายังไม่ถึงที่สุด จึงไม่เข้าเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ซึ่งจะเพิ่มโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2543 เวลากลางวันจำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีไม้สักแปรรูปจำนวน 100 แผ่น ปริมาตร0.20 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และโดยไม่มีเหตุอันได้รับการยกเว้นโทษตามกฎหมาย และจำเลยมีใช้เครื่องรับ-ส่งวิทยุคมนาคมชนิดมือถือไม่มีหมายเลขเครื่องและหมายเลขทะเบียน จำนวน 2 เครื่อง ซึ่งสามารถใช้งานได้ซึ่งใช้รับ-ส่งคลื่นในย่านความถี่ 138.000 -174.000 เมกะเฮิรตซ์ สามารถรับส่งสัญญาณเสียงสื่อสารกับเครื่องรับ-ส่งวิทยุคมนาคมอื่นซึ่งใช้คลื่นในย่านความถี่เดียวกันให้เข้าใจความหมายได้ด้วยคลื่นแฮรตเซียน อันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมตามกฎหมายพร้อมแท่นชาร์จกระแสไฟฟ้าจำนวน 1 อัน โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต และไม่มีเหตุอันได้รับการยกเว้นโทษตามกฎหมาย ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1433/2542 ของศาลชั้นต้น ฐานมีไม้สักแปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุก 6 เดือน โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี จำเลยกลับมากระทำความผิดคดีนี้อีกภายในกำหนดเวลาที่ศาลรอการลงโทษ และก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2272/2542 ของศาลชั้นต้น ฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท (เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายให้ลงโทษจำคุก 1 ปี จำเลยกลับมากระทำความผิดคดีนี้อีกภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันที่จำเลยพ้นโทษในคดีดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 7, 47, 48, 73, 74, 75 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4, 6, 22, 23 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 92 ริบไม้สักแปรรูปของกลาง และเครื่องรับวิทยุโทรคมนาคมและแท่นชาร์จกระแสไฟฟ้าของกลางให้ไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลขเพิ่มโทษจำคุกแก่จำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1433/2542 เข้ากับโทษของจำเลยคดีนี้ด้วย

จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและบวกโทษที่รอไว้

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 48 วรรคหนึ่ง, 73 วรรคสอง (ที่ถูก 73 วรรคสอง (1)) พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 23 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1433/2542 ของศาลชั้นต้นบวกเข้ากับโทษจำเลยในคดีนี้รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน ริบของกลาง โดยเครื่องวิทยุคมนาคมและแท่นชาร์จกระแสไฟฟ้าให้ไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า ที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจำเลยและไม่รอการลงโทษให้จำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จำเลยฎีกาว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2272/2542 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่29 ตุลาคม 2542 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1(เมทแอมเฟตามีน) โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2543 ได้อ่านคำพิพากษาดังกล่าวให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2543 จึงครบกำหนดยื่นฎีกาวันที่ 11 สิงหาคม 2543 ในระหว่างยื่นฎีกาจำเลยยื่นคำร้องขยายระยะเวลาฎีกา แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์คำสั่งและส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 5 เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2543 ตามสำเนาหนังสือส่งสำนวนเอกสารหมายเลข 1 ท้ายฎีกาคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงยังไม่ถึงที่สุด เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 ในระหว่างที่คดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด การที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจำเลยและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ซึ่งบัญญัติว่าจะเพิ่มโทษตามมาตรานี้ได้ ผู้นั้นได้เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกแล้วมากระทำความผิดใด ๆ อีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่หรือภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ นอกจากนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อ้างเหตุไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเพราะจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2272/2542 ของศาลชั้นต้น จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ก็คลาดเคลื่อนต่อข้อกฎหมายเพราะที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 บัญญัติว่า “…ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน…” นั้น หมายความว่าผู้นั้นจะต้องได้รับโทษจำคุกมาจริง และคดีต้องถึงที่สุดแล้ว เมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2272/2542 ของศาลชั้นต้นยังไม่ถึงที่สุดด้วยเหตุดังกล่าวมาข้างต้น ดังนั้น จึงต้องถือว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลจะรอการลงโทษให้จำเลยได้ นั้นเห็นว่า เอกสารหมายเลข 1ท้ายฎีกาที่จำเลยอ้าง จำเลยได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2272/2542 ของศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2543 ตามที่จำเลยอ้างจริง ทั้งโจทก์มิได้แก้ฎีกาให้ฟังได้เป็นอย่างอื่น จึงยังไม่อาจฟังยุติว่าคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2272/2542 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดแล้ว เพราะในขณะนั้นยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าศาลอุทธรณ์ภาค 5 จะขยายระยะเวลายื่นฎีกาให้จำเลยหรือไม่ และหากศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาและรับฎีกาจำเลยไว้พิจารณาแล้วคดีก็อยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกายังไม่ถึงที่สุด เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2543 ในระหว่างที่คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2272/2542 ของศาลชั้นต้นยังไม่ถึงที่สุดจึงไม่เข้าเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ซึ่งจะเพิ่มโทษจำเลยตามคำขอของโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเพิ่มโทษจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่กรณีที่จะรอการลงโทษให้จำเลยได้นั้น หาใช่ว่าหากจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนแล้วศาลจะต้องรอการลงโทษให้จำเลยเสมอไปไม่ การไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเป็นเพียงเกณฑ์ประการหนึ่งเท่านั้นเพราะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุก และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินสองปี ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน…เมื่อศาลได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพและสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิดหรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว เห็นเป็นการสมควร ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิด.. แต่รอการลงโทษไว้ …” ดังนั้น แม้จะฟังว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนแต่ปรากฏตามฟ้องโจทก์คดีนี้ซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่า นอกจากจำเลยต้องคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2272/2542 ของศาลชั้นต้น ดังกล่าวมาแล้ว ก่อนคดีนี้จำเลยยังเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2542 ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน ฐานมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ศาลชั้นต้นปรานีให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1433/2542 จำเลยกลับมากระทำความผิดอย่างเดียวกันในคดีนี้ซ้ำอีกภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษในคดีก่อน แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่รู้สำนึกในความผิด ไม่รู้สึกหลาบจำเกรงกลัวในการกระทำความผิดและไม่มีความตั้งใจที่จะกลับตัวเป็นพลเมืองดีตามที่ศาลให้โอกาส ทั้งยังปรากฏว่าในคดีนี้นอกจากจำเลยจะกระทำความผิดฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว จำเลยยังกระทำความผิดฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 อีกกรรมหนึ่งด้วย ดังนั้น การจะรอการลงโทษให้จำเลยอีกจึงไม่เหมาะสมแก่สภาพความผิดและไม่เพียงพอที่จะทำให้จำเลยเกรงกลัวหรือหลาบจำ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษให้จำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุกจำเลยในความผิดฐานมีไม้สักหวงห้าม และมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคม มีกำหนด 9 เดือน เมื่อบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษจำเลยไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1433/2542 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษจำเลยในคดีนี้แล้วรวมจำคุก 15 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share