แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งตามคำพิพากษาส่วนอาญาที่ลงโทษจำเลยว่า จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่จะใช้ฟังยันจำเลยที่ 1 เจ้าของรถยนต์ด้วยไม่ได้ เพราะจำเลยที่ 1 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าว
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงิน103,377 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย สำหรับจำเลยที่ 6 ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะจำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิดเพียง 1 ใน 5 ส่วนของค่าเสียหายทั้งหมด และจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 คงให้ร่วมรับผิดเพียง 4 ใน 5 ส่วนของค่าเสียหายทั้งหมด เฉพาะจำเลยที่ 3 คงให้รับผิดเพียง 14,000 บาท จำเลยที่ 1 กับที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่เพียงว่า การที่โจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสตามฟ้องเกิดจากการขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 หรือไม่ ปรากฏว่าเรื่องที่เกิดรถชนกันตามที่โจทก์ฟ้องนี้ จำเลยที่ 2 ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทราในข้อหาฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 แต่ให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งจึงต้องฟ้องข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ดังนั้นจึงต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ข้อเท็จจริงส่วนอาญาที่ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าวนี้ คงใช้ฟังยันได้เฉพาะจำเลยที่ 2 เท่านั้น จะใช้ฟังยันจำเลยที่ 1ด้วยหาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 1 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จากพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบในคดีนี้ก็น่าเชื่อว่า ขณะเกิดเหตุหมอกลงจัดมองเห็นข้างหน้าได้ไม่เกิน 10 เมตร จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์จำเลยที่ 1 มาด้วยความเร็ว จึงไม่สามารถหยุดรถได้ทัน เป็นเหตุให้รถจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 2 ขับพุ่งเข้าชนท้ายรถเบ็นซ์แท็กซี่ รถเบ็นซ์แท็กซี่เคลื่อนไปโดยเร็ว และชนโจทก์จนขาหักทั้งสองข้าง แล้วรถจำเลยที่ 1 แฉลบไปชนท้ายรถบรรทุกฮีโน่อีก จนบริษัทประกันวินาศภัยจำเลยที่ 3 ซึ่งได้รับประกันวินาศภัยรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 1 ไว้ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าของรถเบ็นซ์แท็กซี่ถึง 30,000 บาท ใช้ค่าเสียหายให้แก่เจ้าของรถบรรทุกฮีโน่ 12,000 บาท และปรากฏจากภาพถ่ายรถเบ็นซ์แท็กซี่และรถบรรทุกฮีโน่จำเลยที่ 3 อ้างส่งศาลว่ารถทั้งสองคันนี้ถูกชนชำรุดเสียหายมิใช่น้อย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยขับมาด้วยความเร็วสูงด้วยความประมาทเลินเล่อ จึงเป็นผลโดยตรงทำให้รถยนต์แท็กซี่เคลื่อนไปโดยเร็วและชนขาโจทก์หักทั้งสองข้างที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ได้รับบาดเจ็บมิได้เกิดจากรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 ขับนั้น ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา1,500 บาทแทนโจทก์”