คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ให้การปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องแต่ไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ จำเลยไม่มีข้อนำสืบ แม้จะถามค้านพยานโจทก์ไว้แล้วก็ไม่มีสิทธินำสืบ
แม้คำสั่งศาลชั้นต้นจะไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 65 ในการที่สั่งอนุญาตให้ทนายความถอนตัวโดยไม่ให้ตัวความทราบเสียก่อน แต่ศาลชั้นต้นได้สั่งงดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาก่อนแล้วจึงได้สั่งอนุญาตให้ทนายความถอนตัว ทั้งได้ส่งสำเนาคำร้องขอถอนตัวของทนายความให้จำเลยทราบก่อนวันอ่านคำพิพากษาแล้วจำเลยจึงไม่ได้รับความเสียหายไม่จำเป็นที่จะต้องเพิกถอนคำสั่ง ศาลชั้นต้นในเรื่องนี้
แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไม่เต็มตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง แต่เมื่อคำนึงถึงเหตุดังกล่าวในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 ประกอบกับพฤติการณ์ในการดำเนินคดีของจำเลยด้วยแล้วการที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ตั้งฟ้องมานั้นถูกต้องแล้ว

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 390,746.55 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงิน2,345,866.53 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยฎีกาว่า เฉพาะเช็คตามเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 ซึ่งสั่งจ่ายเงินรวม 650,000 บาท เป็นเช็คที่จำเลยออกให้โจทก์ตามคำแนะนำของพนักงานโจทก์ขณะทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีโดยมิได้รับเงินจากโจทก์ จึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน และฎีกาเรื่องดอกเบี้ยว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยโดยอ้างเหตุว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ เป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแต่ต้นนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะจำเลยให้การปฏิเสธไว้แล้วว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินรับเงินโจทก์ตามฟ้อง ซึ่งย่อมหมายถึงว่าจำเลยได้ปฏิเสธหนี้โจทก์อันรวมถึงดอกเบี้ยทบต้นด้วย ในชั้นพิจารณา จำเลยก็ได้นำสืบและถามค้านในข้อเหล่านี้จึงถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากล่าวกันมาแต่ศาลชั้นต้นแล้ว

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยตกลงจำนองที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างเพื่อเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชี โดยจำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้น และได้มีการขึ้นเงินจำนองอีก 3 ครั้ง โจทก์ได้แนบสำเนาสัญญาดังกล่าวมาท้ายฟ้องด้วย จำเลยให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยเบิกเงินเกินบัญชี ไม่เคยรับเงินจากโจทก์เลย ทั้งไม่เคยจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชี นิติกรรมจำนองเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยไม่เคยขึ้นเงินจำนองกับโจทก์ เอกสารขึ้นเงินจำนองทั้งสามครั้งโจทก์ทำขึ้นเอง คำให้การจำเลยเป็นคำให้การปฏิเสธลอย ๆ มิได้ยกเหตุแห่งการปฏิเสธขึ้นกล่าวอ้างตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 จึงไม่มีประเด็นจะนำสืบ เว้นแต่ประเด็นเรื่องขึ้นเงินจำนองทั้ง 3 ครั้ง ซึ่งจำลยกล่าวอ้างว่าโจทก์ทำเอกสารทั้ง 3 ฉบับขึ้นเอง ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้ถามค้านพยานโจทก์เรื่องจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้โจทก์ไว้แล้ว จำเลยจึงนำสืบในประเด็นข้อนี้ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการถามค้านพยานที่จะทำให้มีสิทธินำสืบข้อเท็จจริงที่ถามค้านไว้นั้น จะต้องเป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายนั้นจะต้องนำสืบเมื่อจำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ ไม่เคยได้รับเงินจากโจทก์แม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ จำเลยก็ไม่มีเหตุที่จะต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ การที่จำเลยนำสืบถึงจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้โจทก์ จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น แม้จำเลยจะถามค้านพยานโจทก์ในข้อนี้ไว้แล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธินำสืบ ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อเป็นฎีกาที่ยกเอาข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาขึ้นมาเป็นข้อฎีกาเป็นฎีกานอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า การที่ศาลล่างทั้งสองเห็นชอบในคำสั่งให้นายนาถ เงินทาบ ทนายจำเลยถอนตัวจากการเป็นทนายจำเลยโดยศาลชั้นต้นไม่ได้สอบถามจำเลยก่อน และมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยโดยตัดสินชี้ขาดไปเลยนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมายและรูปคดี ย่อมจะเกิดความเสียหายแก่รูปคดีของจำเลยนั้นศาลฎีกาเห็นว่า แม้คำสั่งศาลชั้นต้นจะไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 65 ในการที่สั่งอนุญาตให้ทนายความถอนตัวโดยไม่ให้ตัวความทราบเสียก่อน แต่ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 10 มิถุนายน 2519 ศาลชั้นต้นได้สั่งงดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาก่อนแล้ว จึงได้สั่งอนุญาตให้ทนายความถอนตัว ทั้งศาลชั้นต้นได้ส่งสำเนาคำร้องขอถอนตัวของทนายความให้จำเลยทราบก่อนวันนัดอ่านคำพิพากษาแล้ว จำเลยจึงไม่ได้รับความเสียหายจากการที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ถอนทนายแต่อย่างใดคดีไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องนี้ ส่วนการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยจะเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรูปคดีหรือไม่นั้น ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยเรื่องนี้ไว้โดยละเอียดแล้ว จำเลยคงฎีกาลอย ๆ แต่เพียงว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายและรูปคดี ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงไม่เป็นฎีกาที่โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 244 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ที่จำเลยฎีกาเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้น ว่าจำเลยควรรับผิดเพียงเฉพาะตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่าความรับผิดของคู่ความในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 161 บัญญัติให้ศาลใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควร โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความ หรือการดำเนินคดีของคู่ความ ซึ่งเมื่อได้คำนึงถึงเหตุดังกล่าว ประกอบกับพฤติการณ์ในการดำเนินคดีของจำเลยด้วยแล้ว เห็นว่าศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจกำหนดให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ตั้งฟ้องมานั้นถูกต้องแล้ว”

พิพากษายืน

Share