แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ไม่จำต้องกระทำต่อเจ้าหนี้ของตนเท่านั้น แม้กระทำต่อเจ้าหนี้ของบุคคลอื่นก็มีความผิดฐานนี้ได้ และการที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินที่ได้รับโอนจากบิดามารดาของตนซึ่งโจทก์จะขอเพิกถอนการโอนเพื่อบังคับชำระหนี้ต่อไปให้กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ก็อยู่ในความหมายแห่งความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ด้วย แม้ว่าการโอนที่ดินดังกล่าวไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้หมดไปก็ตาม ก็เป็นความผิดฐานนี้ได้หากฟังได้ว่าจำเลยกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ กล่าวคือ กฎหมายมุ่งถึงเจตนาของจำเลยที่จะโกงเจ้าหนี้ โดยไม่คำนึงว่าสิทธิการบังคับชำระหนี้ของโจทก์ที่มีต่อลูกหนี้ของตนจะยังมีอยู่หรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า การที่บิดามารดาจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้เงินกู้โจทก์ โจทก์ได้ฟ้องบิดามารดาจำเลยที่ ๑ และจะยึดที่ดินของบิดามารดาจำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ บิดามารดาจำเลยที่ ๑ ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ ๑ โจทก์จึงฟ้องบิดามารดาจำเลยที่ ๑ และตัวจำเลยที่ ๑ ฐานโกงเจ้าหนี้ ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้โอนที่ดินให้เป็นของบิดามารดาจำเลยที่ ๑ ตามเดิม จำเลยที่ ๑ จึงขายที่ดินให้จำเลยที่ ๒ เช่นนี้เห็นได้ว่าขณะจำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินให้จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ มิใช่ลูกหนี้โจทก์และการโอนดังกล่าวก็ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้จากบิดามารดาจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์หมดไป ไม่จำต้องวินิจฉัยเกี่ยวจำเลยที่ ๒ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ไม่จำต้องกระทำต่อเจ้าหนี้ของตนเท่านั้น แม้กระทำต่อเจ้าหนี้ของบุคคลอื่นก็มีความผิดฐานนี้ได้ และการที่จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินที่ได้รับโอนจากบิดามารดาของตนซึ่งโจทก์จะขอเพิกถอนการโอนเพื่อบังคับชำระหนี้ต่อไปให้กับจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ในความหมายของมาตรา ๓๕๐ นี้ด้วย ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินซึ่งรับโอนมาจากลูกหนี้ให้กับจำเลยที่ ๒ ไป ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะบังคับชำระหนี้จากลูกหนี้หมดไป การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่าสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จะหมดไปหรือไม่ ไม่ใช่องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ หากฟังได้ว่าจำเลยกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ได้กระทำการดังที่กล่าวไว้ในบทมาตรานี้แล้วจำเลยก็ต้องมีความผิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งกฎหมายมุ่งถึงเจตนาของจำเลยที่จะโกงเจ้าหนี้ โดยรู้อยู่ว่าเจ้าหนี้ได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าสิทธิการบังคับคดีจะยังมีอยู่หรือไม่
คดีนี้ ศาลชั้นต้นยกเอาข้อเท็จจริงที่ได้ความเบื้องต้นจากคำพยานโจทก์ส่วนหนึ่ง นำไปวินิจฉัยข้อกฎหมาย พิพากษายกฟ้องโจทก์ มิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามประเด็นข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์ให้สิ้นกระแสความ และศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยข้อเท็จจริง คงฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น จึงไม่สมควรที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงชี้ขาดคดีในชั้นนี้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานทั้งหมด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ