คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้อันจะทำให้ผู้คำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดนั้น หมายถึงการตกลงผ่อนเวลากันแน่นอนและมีผลว่า ในระหว่างผ่อนเวลานั้น เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้างไม่ได้เท่านั้นจึงหาเป็นการผ่อนเวลาแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไป ๒๕,๗๓๐ บาท ยอมเสียดอกเบี้ยขามกฎหมาย จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกัน ตั้งแต่กู้ไปจำเลยที่ ๑ ได้ผ่อนชำระให้โจทก์ ๑๐,๐๐๐ บาทแล้วไม่ชำระอีกเลย ขอให้บังคับ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระต้นเงิน ๑๕,๗๓๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่า “ผ่อนเวลา” ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐๐ กับคำว่า “ผ่อนเวลา” ตามที่เข้าใจกันธรรมดา ๆ อาจมีความหมายไม่ตรงกันก็ได้ ผ่อนเวลาตามกฎหมายดังกล่าว หมายถึงการตกลงผ่อนเวลากันแน่นอนและมีผลว่าในระหว่างผ่อนเวลานั้น โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องหรือฟ้องร้องไม่ได้ สำหรับคดีนี้ไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยที่ ๑ ผ่อนเวลากัน คงปรากฎแต่ว่า โจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิร้อง โจทก์จึงไม่ได้ผ่อนเวลาให้จำเลยที่ ๑ ตามกฎหมายแต่อย่างไร จำเลยที่ ๒ ยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิด ศาลฎีกาเห็นด้วย
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยที่ ๒

Share