คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2708/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 72 ที่บัญญัติให้คู่กรณีนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินมาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น หมายถึงคู่กรณีที่มีความประสงค์จะขอทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยปกติธรรมดา จึงต้องนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินฉบับผู้ถือมาจดทะเบียน มิใช่กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของคู่กรณีที่ไม่ยอมมาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
การที่ศาลพิพากษาให้ บ. โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของ บ. เมื่อโจทก์ยื่นคำขอต่อจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ขอจดทะเบียนที่ดิน โดยถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของ บ. ดังนี้ แม้โจทก์ไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ฉบับผู้ถือไปแสดงเพราะบ. ผู้มีชื่อใน น.ส.3 ไม่ยอมมาจดทะเบียนให้ จำเลยก็ชอบที่จะจดทะเบียนให้ตามคำพิพากษานั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยฟ้องนายบุญนาค บุบผา ให้โอนที่ดินมี น.ส.3 ให้โจทก์ คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้นายบุญนาค บุบผา โอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ถ้าไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนานายบุญนาคไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาทั้งไม่ยอมมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ โจทก์ยื่นคำขอต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายอำเภอ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นที่ดินอำเภอ ขอทำนิติกรรมโอนที่ดิน แต่จำเลยไม่ยอมทำให้อ้างว่าโจทก์ไม่ได้นำ น.ส.3 ฉบับผู้ถือมาแสดง ขอให้บังคับให้จำเลยทำนิติกรรมโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า ตามกฎหมายผู้ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจะต้องนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไปแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ไม่นำน.ส.3 มาจำเลยจึงไม่อาจดำเนินการให้ได้

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า กรณีเป็นเรื่องโจทก์ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามคำพิพากษาของศาล โอนที่ดินที่มีแต่ น.ส.3 ซึ่งจำเลยมีหน้าที่จะต้องทำให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ร้องขอพิพากษาให้จำเลยทั้งสองทำการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์โดยไม่มี น.ส.3 ฉบับผู้ถือไม่ได้ เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 72 ทั้งจำเลยไม่อาจทำหนังสือ น.ส.3 ขึ้นใหม่แทนฉบับผู้ถือของนายบุญนาคได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายบุญนาค บุบผา ถูกโจทก์ฟ้องให้โอนที่ดิน มี น.ส.3 รายพิพาทให้โจทก์ คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้นายบุญนาค บุบผา โอนที่ดินรายพิพาทให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของนายบุญนาค บุบผา ต่อมานายบุญนาคไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงยื่นคำขอต่อจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ขอจดทะเบียนโอนที่ดินฝ่ายเดียว โดยถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของนายบุญนาค บุบผา จำเลยได้ดำเนินการรังวัดที่ดินและออกประกาศตามระเบียบแล้ว แต่ไม่ยอมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับผู้ถือไปแสดง

ปัญหาจึงมีว่า การจดทะเบียนโอนที่ดินตามคำพิพากษาของศาลเช่นกรณีนี้ จำเป็นที่โจทก์จะต้องนำ น.ส.3 ฉบับผู้ถือมาแสดงต่อจำเลยหรือไม่ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 72 บัญญัติว่า “ผู้ใดประสงค์จะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้คู่กรณีนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินมาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 71 แล้วแต่กรณี” นั้น มีความหมายถึงคู่กรณีที่มีความประสงค์จะขอทำการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยปกติธรรมดา คู่กรณีจึงต้องนำหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินฉบับผู้ถือมาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิใช่กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาดให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของคู่กรณีที่ไม่ยอมจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นคดีนี้ เมื่อศาลพิพากษาเช่นที่กล่าวมาและผู้ที่มาขอจดทะเบียนมีหลักฐานมาแสดงว่าศาลได้พิพากษาให้จดทะเบียนได้โดยให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของคู่กรณีที่ไม่ยอมมาจดทะเบียนพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ชอบที่จะจดทะเบียนให้ตามคำพิพากษาที่ชี้ขาดถึงที่สุดนั้น

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share