แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นลูกค้าของธนาคารจำเลยที่ 3 สาขาลาดพร้าวได้ติดต่อรับซื้อลดเช็คจาก พ.พนักงานฝ่ายสินเชื่อของจำเลยที่ 3ซึ่งเช็คดังกล่าว พ.อ้างว่าเป็นของลูกค้าจำเลยที่ 3 โดยโจทก์กับ พ.แบ่งผลประโยชน์ในส่วนลดกันเมื่อเช็คถึงกำหนดพ.จะนำไปเก็บเงินจากลูกค้าแล้วนำเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์เท่ากับ พ.เป็นผู้ไปรับฝากเงินจากโจทก์โดยที่โจทก์ไม่ต้องนำเงินเข้าบัญชีด้วยตนเอง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นสมุห์บัญชีและผู้จัดการของจำเลยที่ 3 สาขาลาดพร้าวก็ทราบเรื่องที่ พ.นำเงินเข้าบัญชีโจทก์ ถือว่าจำเลยทั้งสามเชิดให้ พ. เป็นตัวแทนออกไปรับฝากเงินจากลูกค้านอกสถานที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 821 หาก พ. ได้รับเงินจากลูกค้าผู้สั่งจ่ายเช็คเพื่อนำมาเข้าบัญชีโจทก์แล้ว ถึงแม้ พ. จะทุจริตมิได้นำเข้าบัญชีจำเลยที่ 3 ก็จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม มาตรา 820,821
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานลูกจ้างของธนาคารกรุงไทยจำกัด สาขาลาดพร้าว ตำแหน่งสมุห์บัญชี จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาลาดพร้าว จำเลยที่ 3เป็นนิติบุคคลประเภทธุรกิจธนาคารพาณิชย์ โจทก์เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาลาดพร้าวเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2526 โจทก์ได้ฝากเงินสดเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ดังกล่าว 2 รายการ จำนวนเงิน 450,000 บาท และ 650,000 บาทรวมเป็นเงิน 1,100,000 บาท ทางธนาคารได้ลงรายการในบัญชีกระแสรายวันเรียบร้อยแล้ว ต่อมาวันที่ 4 มีนาคม 2526 โจทก์ได้ทราบว่ารายการฝากเงินสด 2 รายการจำนวน 1,100,000 บาท ดังกล่าวข้างต้นได้ถูกจำเลยที่ 1 ลงรายการแก้ไขหักเงินออกจากบัญชีโดยลงรายการประเภทแก้ไขข้อผิดพลาด ซึ่งเป็นการกระทำโดยมิชอบ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายในจำนวนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารคิดจากโจทก์ในการเบิกเงินเกินบัญชีเนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3และได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ทำหน้าที่เป็นสมุห์บัญชีกระทำการแทนจำเลยที่ 3 ในกิจการทั้งปวงของจำเลยที่ 3โดยเฉพาะเกี่ยวกับบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ และได้กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ตามคำสั่งและการบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงิน 1,149,500 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ในต้นเงิน 1,100,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันไว้กับจำเลยที่ 3 สาขาลาดพร้าว และโจทก์ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นเงิน 2,000,000 บาท และได้เดินสะพัดทางบัญชีเรื่อยมา เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2526โจทก์ไม่ได้นำเงินสดจำนวน 450,000 บาท และ 650,000 บาทรวมเป็นเงิน 1,100,000 บาท ฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันตามฟ้องจำเลยทั้งสามไม่เคยได้รับฝากเงินดังกล่าวจากโจทก์ ความจริงการแก้ไขบัญชีกระแสรายวันเป็นการแก้ไขเมื่อลงตัวเลขในบัญชีผิดพลาดจึงชอบที่จะล้างรายการออกเสียได้ เป็นวิธีปฏิบัติตามปกติของธนาคารพาณิชย์ทั่วไป จำเลยทั้งสามมิได้กระทำเพื่อหักเงิน 1,100,000 บาทออกจากบัญชีโจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหาย และตั้งแต่วันที่ 1มีนาคม 2526 จนถึงปัจจุบัน โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องแต่ประการใด โจทก์คงเดินสะพัดทางบัญชีกับจำเลยตลอดมาตามปกติขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน1,100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2526 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว จากการนำสืบของทั้งสองฝ่ายและที่ปรากฏในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 18768/2526 ของศาลแขวงพระนครเหนือ ได้ความว่า จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นสมุห์บัญชีจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ ส่วนนายไพโรจน์ ลักษณาวินเป็นพนักงานฝ่ายสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย จำกัด จำเลยที่ 3สาขาลาดพร้าว โจทก์เป็นลูกค้าเปิดบัญชีกระแสรายวันไว้กับจำเลยที่ 3 สาขาลาดพร้าว บัญชีเลขที่ 011-6-00389-8 นายไพโรจน์นำเช็คซึ่งอ้างว่าเป็นของลูกค้าจำเลยที่ 3 ไปขายให้กับโจทก์โดยโจทก์จะได้ส่วนลดร้อยละ 6 ของจำนวนเงินตามเช็คแต่ละฉบับส่วนลดที่โจทก์ได้นี้โจทก์จะแบ่งให้นายไพโรจน์ร้อยละ 2 โจทก์คงได้ร้อยละ 4 เมื่อเช็คที่นายไพโรจน์นำมาขายถึงกำหนดนายไพโรจน์จะมาขอรับเช็คเพื่อนำไปเก็บเงินจากลูกค้าผู้สั่งจ่ายเช็ค แล้วนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ ดังปรากฏตามบัญชีกระแสรายวันและใบรับฝากเงิน (เปย์อิน) ตามเอกสารหมาย จ.1 จ.2ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2526 นายไพโรจน์มาขอรับเช็คที่ถึงกำหนดเพื่อนำไปเก็บเงินรวมเป็นเช็ค 9 ฉบับ เป็นเงิน 1,100,000 บาทและในวันเดียวกันนายไพโรจน์ได้นำบัญชีกระแสรายวันหรือสเตทเมนท์ซึ่งลงรายการว่าจำเลยที่ 3 ได้รับเงินฝากรวม 2 รายการ เป็นเงิน1,100,000 บาท มาแสดงต่อโจทก์เหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติหลังจากนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ขีดฆ่ารายการลงรับเงิน1,100,000 บาท โดยอ้างว่ามิได้มีการนำเงิน 1,100,000 บาทฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมรับผิด
จากที่ได้ความดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสามจะต้องร่วมรับผิดในการกระทำของนายไพโรจน์ต่อโจทก์สำหรับเงินจำนวน 1,100,000 บาทหรือไม่นั้น จะต้องแยกพิจารณาการปฏิบัติของนายไพโรจน์เป็นสองตอนหรือสองเรื่องกล่าวคือสำหรับเรื่องที่นายไพโรจน์นำเช็คที่อ้างว่าเป็นของลูกค้าของจำเลยที่ 3 ไปขายลดให้โจทก์นั้น ไม่ปรากฏจากการนำสืบของทั้งสองฝ่ายว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมรู้เห็นในการกระทำของนายไพโรจน์แต่ประการใด เช็คที่นำไปขายลดให้แก่โจทก์ก็มีทั้งของจำเลยที่ 3และมิใช่ของจำเลยที่ 3 ดังนั้น ในเรื่องที่นายไพโรจน์นำเช็คไปขายลดให้แก่โจทก์โดยต่างได้รับผลประโยชน์จากส่วนลดร่วมกันนั้นเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างโจทก์กับนายไพโรจน์ จำเลยทั้งสามหามีส่วนจะต้องรับผิดในเรื่องดังกล่าวนี้ไม่
สำหรับเรื่องที่นายไพโรจน์นำเงินที่เก็บได้จากลูกค้าผู้สั่งจ่ายเช็คแล้วนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของโจทก์นั้นเห็นว่า เท่ากับนายไพโรจน์เป็นผู้ไปรับเงินฝากเข้าบัญชีจากโจทก์ซึ่งเป็นลูกค้า โดยที่โจทก์ไม่ต้องนำเงินมาฝากเข้าบัญชีที่ธนาคารด้วยตนเองอันเป็นการให้ความสะดวกแก่ลูกค้าของจำเลยที่ 3 นั่นเอง จำเลยที่ 1 ก็ตอบค้านทนายโจทก์ว่า จำเลยที่ 1ทราบว่านายไพโรจน์เคยเขียนใบเปย์อิน และนำเงินเข้าบัญชีให้แก่โจทก์บ่อย ๆ ซึ่งไม่เคยปรากฏว่ามีความเสียหาย คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ดังนี้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับเอาการกระทำหรือการปฏิบัติของนายไพโรจน์ที่ไปรับฝากเงินจากลูกค้านอกสถานที่และเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ก็ทราบด้วย ดังจะเห็นได้จากใบรับฝากเงินตามเอกสารหมาย จ.2 และบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 รายการฝากเงินดังกล่าวหลายรายการฝากเป็นจำนวนหลายแสนบาทจึงมีผลเท่ากับจำเลยทั้งสามเชิดให้นายไพโรจน์เป็นตัวแทนออกไปรับฝากเงินจากลูกค้านอกสถานที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 821 เมื่อถือว่านายไพโรจน์เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยไปรับฝากเงินจากลูกค้านอกสถานที่แล้ว เรื่องการนำเงินที่รับฝากมาเขียนใบเปย์อิน การลงบัญชีรับฝากเงินสดการที่จำเลยที่ 1จะต้องลงชื่อกำกับยอดเงินในบัญชีกระแสรายวัน ตลอดจนนายไพโรจน์จะมีหน้าที่ทำอะไรบ้างนั้น เป็นเรื่องภายใน บุคคลภายนอกหารู้ไม่ดังนั้นในกรณีเรื่องนี้ หากนายไพโรจน์ได้รับเงินจากลูกค้าผู้สั่งจ่ายเช็คเพื่อนำมาเข้าบัญชีให้โจทก์อย่างที่เคยปฏิบัติแล้วถึงแม้นายไพโรจน์จะทุจริตมิได้นำมาเข้าบัญชี ธนาคารจำเลยก็จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 820, 821
ดังนั้นจึงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า นายไพโรจน์ได้รับเงินตามเช็คทั้ง 9 ฉบับ จากลูกค้าซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเพื่อนำเข้าบัญชีโจทก์อย่างที่เคยปฏิบัติหรือไม่ ศาลฎีกาได้ตรวจสอบคำเบิกความของโจทก์ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 18768/2526 แล้วปรากฏว่าได้เบิกความในคดีดังกล่าวว่า เช็คทั้ง 9 ฉบับ ที่รับซื้อไว้และมอบให้นายไพโรจน์ไปเก็บเงินนั้น เป็นเช็คที่มีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายที่มิใช่เจ้าของบัญชีทั้ง 9 ฉบับจึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่านายไพโรจน์ไม่สามารถจะนำเช็คทั้ง 9 ฉบับไปเก็บเงินจากผู้สั่งจ่ายได้ จึงมีผลเท่ากับนายไพโรจน์มิได้รับฝากเงินจำนวน 1,100,000 บาท จากโจทก์นั่นเอง ดังนั้นแม้จะมีการลงรายการในบัญชีกระแสรายวันของโจทก์ว่าได้รับฝากเงินจากโจทก์ 1,100,000 บาท ซึ่งเป็นการผิดพลาดไปจำเลยก็มีอำนาจที่จะขีดฆ่ารายการดังกล่าวออกและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์