คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2702/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอ้างว่าโจทก์ขาดคุณสมบัติของการเป็นพนักงานตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยว่าด้วยวินัยของพนักงาน แต่ระเบียบข้อบังคับฯที่จำเลยอ้างดังกล่าว มิใช่คุณสมบัติของการเป็นพนักงาน และหากเป็นข้อกำหนดวินัยในการทำงานก็มิได้ระบุเรื่องการมีภาระหนี้สินของพนักงานไว้โดยตรง จำเลยจึงไม่อาจยกเหตุการมีภาระหนี้สินของโจทก์มาปรับเข้ากับเรื่องวินัยในการทำงานและถือว่าเป็นการขาดคุณสมบัติของการเป็นพนักงานได้ ทั้งภาระหนี้สินของโจทก์ดังกล่าวก็เป็นกรณีที่โจทก์เป็นหนี้จำเลยเพียงรายเดียว และเป็นหนี้ที่จำเลยเองเป็นผู้พิจารณาให้โจทก์กู้ยืม จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์เป็นหนี้เงินกู้ยืมจำเลยและศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยแล้ว ส่วนจำเลยเป็นหนี้ต้องชำระเงินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง โจทก์และจำเลยจึงต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นหนี้เงินอย่างเดียวกันและหนี้ของโจทก์และจำเลยถึงกำหนดชำระแล้ว จำเลยก็สามารถนำหนี้ของตนเองมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ของโจทก์ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 341

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๓ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าบำเหน็จ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหาย พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามกฎหมายนับแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโจทก์มีภาระหนี้สินต่อจำเลยเป็นจำนวนมากและไม่สามารถแก้ไขภาระหนี้สินหรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามคำสั่งของจำเลย เป็นการไม่ปฏิบัติตนให้เป็นไปตามคำสั่งของจำเลย ขาดคุณสมบัติของการเป็นพนักงานตามระเบียบข้อบังคับพนักงาน ลักษณะที่ ๒ ว่าด้วยระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวดที่ ๔ วินัยของพนักงานข้อ ๘ และเนื่องจากโจทก์มีภาระหนี้สินกับธนาคารจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิหักค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ เดือน และเงินกองทุนบำเหน็จ แล้วหักกลบลบหนี้ที่โจทก์มีต่อจำเลยได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินตามฟ้องและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย และค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยจำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้กับหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหมายเลขแดงที่ ย ๗๒๐/๒๕๔๒ ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในปัญหาที่ว่าโจทก์ขาดคุณสมบัติของการเป็นพนักงานหรือไม่ จำเลยอ้างว่าโจทก์ขาดคุณสมบัติของการเป็นพนักงานตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน หมวดที่ ๔ วินัยของพนักงาน ข้อ ๘ ซึ่งกำหนดว่า “พนักงานต้องประพฤติตนให้เป็นที่เชื่อถือ เพื่อรักษาชื่อเสียงอันดีของธนาคารและรักษาชื่อเสียงของตนไม่ให้ขึ้นชื่อว่าประพฤติชั่ว ห้ามมิให้ประพฤติซึ่งอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติของตำแหน่งหน้าที่การงานอันจะทำให้เกิดความดูหมิ่น ขาดความนิยมเชื่อถือต่อลูกค้าหรือบุคคลทั่วไปทั้งในและนอกเวลาทำงาน” แต่ปรากฏว่าระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่อ้างดังกล่าวมิใช่คุณสมบัติของการเป็นพนักงาน หากเป็นข้อกำหนดวินัยในการทำงานซึ่งก็มิได้ระบุเรื่องการมีภาระหนี้สินของพนักงานไว้โดยตรง ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจยกเหตุการมีภาระหนี้สินของโจทก์มาปรับเข้ากับเรื่องวินัยในการทำงานและถือว่าเป็นการขาดคุณสมบัติของการเป็นพนักงานได้ ทั้งภาระหนี้สินของโจทก์ดังกล่าวก็เป็นกรณีที่โจทก์เป็นหนี้จำเลยเพียงรายเดียว มิได้เป็นหนี้บุคคลอื่น ๆ ด้วย และเป็นหนี้ที่จำเลยเองเป็นผู้พิจารณาให้โจทก์กู้ยืม จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า มูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ย ๗๒๐/๒๕๔๒ ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ เกิดจากการกู้ยืมเงิน ไม่เกี่ยวข้องกับมูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องเรียกจากจำเลยในคดีนี้ซึ่งเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างและเกี่ยวเนื่องกับบทบัญญัติของกฎหมายแรงงาน จำเลยจึงไม่มีสิทธินำหนี้ที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ในคดีนี้ได้นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกัน และหนี้ของโจทก์และจำเลยถึงกำหนดจะชำระ จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์ย่อมจะหลุดพ้นจากหนี้ของตนด้วยการหักกลบลบหนี้กันกับโจทก์ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๔๑ ที่โจทก์อ้างว่า มูลหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้จำเลยกับมูลหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์เกิดจากเหตุต่างกันดังกล่าวข้างต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธินำหนี้ที่โจทก์ต้องชำระให้แก่จำเลยมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์นั้น ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดกำหนดไว้ดังที่โจทก์อ้าง อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share