คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2701/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือแก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ก็ให้คืนเงินมัดจำกับค่าเสียหายแก่โจทก์ดังนั้น ในการบังคับคดีจำเลยจึงต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ตามลำดับของคำพิพากษา โดยจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ก่อน จำเลยจะเลือกวิธีการคืนเงินมัดจำกับชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งที่จำเลยยังสามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามคำของโจทก์ซึ่งขอให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจที่จะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ เพราะเป็นคำสั่งเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นกรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งในเวลาที่ออกคำบังคับด้วยว่า หากจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และมิใช่เป็นเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษา

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนของจำเลยโฉนดเลขที่ 9691 ให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขาย โดยให้โจทก์ชำระเงินส่วนที่ยังขาดจำนวน 468,750บาท ให้แก่จำเลย หากจำเลยไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็ให้จำเลยชำระค่าเสียหายพร้อมกับคืนมัดจำให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยโฉนดเลขที่ 9691 ให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือจำนวน 468,750 บาท แก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ ก็ให้คืนเงินมัดจำจำนวน 156,250 บาทกับค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาท ให้แก่โจทก์ คดีถึงที่สุด
ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา และโจทก์ได้ขอออกคำบังคับเพื่อให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีและให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับลงวันที่ 4 มิถุนายน 2534 ส่งให้แก่จำเลยแล้ว ต่อมาจำเลยได้นำเงินมัดจำและค่าเสียหายตลอดจนค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาไปวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระให้แก่โจทก์ และเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาตามคำบังคับโจทก์แถลงว่าจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินและรับเงินค่าที่ดินที่เหลือจากโจทก์ โจทก์จะขอวางเงินค่าที่ดินที่เหลือตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ได้วางเงินค่าที่ดินที่เหลือต่อศาลชั้นต้นแล้ว หลังจากนั้นโจทก์ได้ไปยื่นคำขอโอนที่ดินตามคำพิพากษาที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐมสาขานครชัยศรี สำนักงานที่ดินดังกล่าว เห็นว่า ตามคำพิพากษามิได้ระบุว่า หากจำเลยไม่ไปทำการโอนที่ดินให้แก่โจทก์ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จึงได้มีหนังสือลงวันที่16 สิงหาคม 2534 ถึงศาลจังหวัดนครปฐม เพื่อขอทราบว่ากรณีดังกล่าวจะใช้คำพิพากษาแทนการแสดงเจนนาของจำเลยได้หรือไม่ ศาลจังหวัดนครปฐมได้มีหนังสือลงวันที่ 21 สิงหาคม 2534 แจ้งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขานครชัยศรี ว่า คำพิพากษาของศาลดังกล่าวสามารถใช้บังคับได้ ส่วนที่ศาลมิได้เขียนไว้ในคำพิพากษาก็เพราะเป็นวิธีปฏิบัติเท่านั้น สำนักงานที่ดินจึงได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ตามคำพิพากษา
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านว่า จำเลยได้นำเงินมัดจำและค่าเสียหายตามคำพิพากษาไปวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระให้แก่โจทก์แล้วตามคำพิพากษาและคำบังคับ ศาลมิได้กำหนดวิธีปฏิบัติโดยให้โจทก์ใช้คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยได้เมื่อโจทก์ไปยื่นคำร้องฝ่ายเดียวต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยใช้คำพิพากษาซึ่งเป็นวิธีการปฏิบัติที่ไม่เคยมีในระเบียบของกรมที่ดินมาก่อน จึงเป็นการใช้สิทธิปฏิบัติที่มิชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 272, 273
ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องคัดค้านว่า เรื่องการแสดงเจตนาไม่ต้องระบุในคำพิพากษา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 ไม่ได้บังคับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้ระบุว่า หากจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงมุ่งหมายให้จำเลยเลือกปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อโจทก์ได้ และจำเลยได้นำเงินมัดจำค่าเสียหายและค่าฤชาธรรมเนียมตามคำพิพากษาไปวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์แล้ว การที่ศาลชั้นต้นให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และโจทก์ได้นำคำพิพากษาไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินฝ่ายเดียว เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษานั้น เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือแก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ก็ให้คืนเงินมัดจำกับค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนั้น ในการบังคับคดีจำเลยจึงต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ตามลำดับของคำพิพากษา โดยจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ก่อน จำเลยจะเลือกวิธีการคืนเงินมัดจำกับชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งที่จำเลยยังสามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาโดยอาศัยคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษานั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 เมื่อศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจที่จะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ เพราะเป็นคำสั่งเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั่นเองกรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งในเวลาที่ออกคำบังคับว่า หากจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยแต่อย่างใดไม่ และมิใช่เป็นเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษาดังที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน

Share