คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ถ้าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารหากไม่สามารถจะทำได้ดั่งที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 78 ศาลอาจสั่งให้ส่งโดยวิธีอื่นแทนได้ กล่าวคือปิดคำคู่ความหรือเอกสารไว้ในที่แลเห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 79 วรรคหนึ่ง ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารไม่สามารถจะทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 78 ศาลจะต้องสั่งให้เป็นกิจจะลักษณะเสียก่อนว่าให้ส่งโดยวิธีปิดคำคู่ความหรือเอกสารได้ เมื่อไม่ปรากฏว่า การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่สามารถจะทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 78 และไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปิดหมายนัดเป็นกิจจะลักษณะ เพราะในหมายนัดก็มีข้อความที่พิมพ์แต่เพียงว่า”หมายศาล – ปิดหมาย” เท่านั้น ทั้งเจ้าหน้าที่ส่งหมายก็รายงานว่า บริษัทจำเลยย้ายกิจการออกไปนานแล้ว แม้การปิดหมาย ณ สถานที่ดังกล่าวในชั้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง จำเลยสามารถยื่นคำให้การได้ก็ตามแต่เวลาก็ล่วงเลยมานานถึงสามปีเศษแล้ว และเมื่อปรากฏว่าขณะปิดหมายนัดสถานที่ที่ปิดหมายดังกล่าวไม่ใช่ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลย การปิดหมายจึงไม่ชอบตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยไม่มาศาลย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันดังกล่าว และถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะในส่วนที่อ่านให้จำเลยฟัง และให้ศาลชั้นต้นนัดจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าปรับฐานผิดสัญญานำทองคำแท่งเข้ามาในราชอาณาจักรไม่ครบจำนวนตามที่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 4,048,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลยอุทธรณ์ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 8 มีนาคม 2539 เวลา 13.30 นาฬิกา ถึงวันเวลานัดผู้รับมอบฉันทะทนายโจทก์มาศาลจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้รับมอบฉันทะทนายโจทก์ฟังโดยให้ถือว่าจำเลยทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบแล้ว ต่อมาวันที่ 25 กรกฎาคม 2539 จำเลยยื่นคำร้องว่าหลังจากยื่นอุทธรณ์และนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2538 แล้ว จำเลยและทนายจำเลยได้ย้ายที่อยู่ใหม่ โดยจำเลยย้ายเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2535 ส่วนทนายจำเลยย้ายตั้งแต่เดือนมกราคม 2538 ทนายจำเลยมายื่นคำร้องแจ้งย้ายที่อยู่ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2539 และขอตรวจสำนวนจึงทราบว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปตามวันเวลาดังกล่าวข้างต้นแล้ว ซึ่งจำเลยและทนายจำเลยไม่เคยได้รับหรือทราบถึงหมายแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเลย หากมีการปิดหมาย ณ ที่อยู่เดิม การปิดหมายดังกล่าวก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้ปิด ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลยไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้ทราบนัดดังกล่าวโดยชอบ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่การส่งหมายแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ตลอดจนกระบวนพิจารณาภายหลังจากนั้นทั้งหมดและออกหมายแจ้งวันนัดกับอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยแจ้งย้ายภูมิลำเนาให้ศาลทราบหลังจากมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปแล้วการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยทราบตามภูมิลำเนาเดิมในฟ้องถือว่าชอบ ให้ยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อเดียวว่า จำเลยได้จดทะเบียนย้ายที่ทำการไปอยู่ ณ เลขที่ 35 อาคารธนาคารกรุงไทย จำกัด ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2535การส่งหมายให้แก่ตัวจำเลยและทนายจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าถ้าการส่งคำคู่ความหรือเอกสารนั้นไม่สามารถจะทำได้ดั่งที่บัญญัติไว้ในมาตราก่อนศาลอาจสั่งให้ส่งโดยวิธีอื่นแทนได้ กล่าวคือปิดคำคู่ความหรือเอกสารไว้ในที่แลเห็นได้ง่าย ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของคู่ความตามกฎหมายมาตราดังกล่าวจะต้องปรากฏว่า การส่งคู่ความหรือเอกสารนั้นไม่สามารถจะทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตราก่อน และศาลจะต้องสั่งให้เป็นกิจจะลักษณะว่าให้ส่งโดยวิธีปิดคำคู่ความหรือเอกสารได้ แต่คดีนี้ไม่ปรากฏว่าการส่งหมายนัดไม่สามารถจะทำได้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตราก่อน และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปิดหมายนัดเป็นกิจจะลักษณะแต่ประการใดในหมายนัดก็มีข้อความที่พิมพ์แต่เพียงว่าหมายศาล – ปิดหมาย เท่านั้น ทั้งตามรายงานการเดินหมายลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2539 เจ้าหน้าที่ก็รายงานว่าบริษัทจำเลยย้ายกิจการออกไปนานแล้ว แม้การปิดหมาย ณ สถานที่ดังกล่าวในชั้นส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2535 จำเลยสามารถยื่นคำให้การได้ก็ตามแต่เวลาก็ล่วงเลยมานานถึงสามปีเศษแล้ว และตามรายงานของเจ้าหน้าที่ก็ตรงกันในข้อที่ว่าจำเลยย้ายไปอยู่ที่อื่นซึ่งสอดคล้องกับคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2539 ฉะนั้น สถานที่ที่ปิดหมายจึงไม่ใช่ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของจำเลย การปิดหมายจึงไม่ชอบตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวการที่จำเลยไม่มาศาลย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยได้ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันดังกล่าว และถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังโดยชอบแล้ว ศาลฎีกาชอบที่จะเพิกถอนเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง

พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะในส่วนที่อ่านให้จำเลยฟัง และให้ศาลชั้นต้นนัดจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่

Share