คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2700/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเช่าซื้อที่ดินจากโจทก์ไปปลูกบ้านแล้วผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านและออกไปจากที่ดินที่เช่าซื้อ จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้บังคับโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองจะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างแก่โจทก์ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินได้และจำเลยทั้งสองจะต้องรื้อถอนบ้านออกไปแล้วให้โจทก์ชดใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น และชดใช้ค่าเสียหายที่ต้องรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวออกไปรวมเป็นเงิน 380,000 บาท และเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เป็นคำฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา179 วรรคท้าย และคำฟ้องแย้งนี้ไม่เป็นเงื่อนไข หากเป็นแต่เพียงคำขอในคำฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่ง ในเมื่อบังคับตามคำขอข้อแรกไม่ได้ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากโจทก์เมื่อทำสัญญาเช่าซื้อแล้วจำเลยทั้งสองปลูกบ้านเลขที่ 191/2ลงบนที่ดินที่เช่าซื้อ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดสัญญา สัญญาระงับสิ้นสุดลงทันที โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองย้ายบ้านและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยเพิกเฉย โจทก์อาจนำที่ดินให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าประมาณเดือนละ 2,000 บาท ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนบ้านเลขที่ 191/2 ขนย้ายสิ่งของและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะรื้อถอนขนย้ายสิ่งของและบริวารแล้วเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยผิดสัญญาเช่าซื้อค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกินเดือนละ 200 บาท โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหากจำเลยทั้งสองต้องรื้อถอนขนย้ายบ้านที่ปลูกออกจากที่ดินจะเกิดความเสียหายเป็นเงิน 80,000 บาท นอกจากนี้จำเลยทั้งสองได้ถมที่ดินราคาที่ดินเพิ่มขึ้นคิดเป็นเงิน 300,000 บาท ถ้าหากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองได้ จำเลยทั้งสองต้องรื้อถอนขนย้ายบ้าน โจทก์จะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 380,000 บาท ด้วย ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์โอนที่ดินที่เช่าซื้อแก่จำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองยินดีชำระเงินส่วนที่ค้างชำระจำนวน 49,000 บาท แก่โจทก์ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์ หากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยทั้งสองได้และจำเลยต้องรื้อถอนบ้านเลขที่191/2 ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย 380,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระครบถ้วน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ค่ารื้อถอนบ้าน ค่าขนย้ายและค่าถมที่ดินเพื่อปลูกบ้านเป็นสิทธิและหน้าที่ของจำเลยทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม จำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยทั้งสอง ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง เห็นว่า มีเงื่อนไขและไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมจึงไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาในชั้นฎีกามีว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองเป็นฟ้องที่ต้องห้ามมิให้ฟ้องรวมกันมาพร้อมคำให้การเป็นคดีเดียวกันหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ ขอให้บังคับโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อให้แก่จำเลยทั้งสอง โดยจำเลยทั้งสองจะชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างจำนวน 49,000 บาท แก่โจทก์ หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ ฟ้องแย้งข้อ 3ที่ว่าหากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่จำเลยทั้งสองได้ และจำเลยทั้งสองจะต้องรื้อถอนบ้านเลขที่ 191/2 หมู่ 1 ถนนรามอินทราตำบลท่าแร้ง อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ออกไปแล้วให้โจทก์ชดใช้ค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น 300,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายที่ต้องรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวออกไปอีก 80,000 บาท รวมเป็นเงิน 380,000บาท และฟ้องแย้งข้อ 4 ขอให้โจทก์เสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เป็นคำฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะพิจารณาชี้ขาดตัดสินไปด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย และคำฟ้องแย้งนี้ไม่เป็นเงื่อนไข หากเป็นแต่เพียงคำขอในคำฟ้องแย้งอีกข้อหนึ่งในเมื่อบังคับตามคำขอข้อแรกไม่ได้ ซึ่งแล้วแต่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชนะคดีได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share