แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองตกลงซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ทั้งสามในราคา 2,500,000 บาท แต่ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองชำระค่าที่ดินให้โจทก์ทั้งสามเพียง 1,000,000บาท ยังค้างชำระ 1,500,000 บาท โจทก์ทั้งสามทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 55 ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้างหรือไม่ เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย โจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้อง-จำเลยทั้งสอง
ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นไม่รับวินิจฉัยโดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นประเด็นในคดี แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรและด้วยเหตุผลใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่ศาลนำลายมือชื่อในเอกสารพิพาทซึ่งจำเลยที่ 2 ปฏิเสธว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองไปเปรียบเทียบกับลายมือชื่อในเอกสารฉบับอื่นที่มีอยู่ในสำนวนกับที่คู่ความได้อ้างมาเป็นพยานในคดีนี้ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลได้รู้เห็นเองและเป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลย่อมมีอำนาจกระทำได้