แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
วันเกิดเหตุเป็นคืนเดือนมืด ผู้เสียหายอ้างว่าจำเสียงของชายร่างเล็กที่สวมหมวกผ้าสีดำคลุมศีรษะและใบหน้าโดยโผล่ ให้เห็นเพียงลูกนัยน์ตาได้ว่าเป็นจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นคนรู้จักและเห็นหน้ามาก่อน ประกอบกับรูปร่างลักษณะของคนพูดก็ตรงกับจำเลยที่ 4 แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจำรูปร่างและน้ำเสียง ของจำเลยที่ 4 ได้โดยอาศัยหลักการสังเกตจากอะไร และจำเลยที่ 4 มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากบุคคลทั่วไปอย่างไร เพียงบอกว่ารูปร่างคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็น หรือรูปร่างลักษณะตรงกับจำเลยที่ 4 โดยไม่ทราบว่าที่ว่าคุ้น ๆ นั้นคุ้นเช่นใด และตรงกับรูปร่างของจำเลยที่ 4 ในส่วนไหนแม้จำเลยที่ 4 จะเสนอใช้ค่าเสียหายแต่ก็มิได้ยอมรับว่าเป็นผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ทั้งจำเลยที่ 4 เมื่อถูกจับก็ปฏิเสธมาตลอดและไม่ได้หลบหนีไปไหน ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 4 ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา340, 340 ตรี, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 กับริบท่อนไม้ 1 ท่อนและเชือก 1 เส้นที่จำเลยทั้งสี่ใช้ในการกระทำความผิด และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคือหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 4,300 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี, 83 จำคุก 18 ปี จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง, 83จำคุกคนละ 12 ปี ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคือหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 4,300 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตให้ถอนอุทธรณ์ ให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 คงพิจารณาคดีเฉพาะอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ที่เกิดเหตุเป็นโรงเรียนแกเปะราษฎร์นิยมบริเวณหน้าเสาธงและรั้วกำแพงตามเอกสารหมาย จ.3และภาพถ่ายหมาย จ.4 มีแสงไฟฟ้าจากอาคารเรียนและบ้านพักครู ตามคำเบิกความของผู้เสียหายตอบทนายจำเลยถามค้านว่าเกิดเหตุครั้งแรกที่บริเวณใต้ต้นไม้เป็นเงามืด เห็นหน้ากันไม่ชัดเจนโดยวันเกิดเหตุเป็นคืนเดือนมืด คดีโจทก์มีประจักษ์พยานคือผู้เสียหายคนเดียวซึ่งเบิกความฟังได้เพียงว่า เมื่อจำเลยที่ 1 จี้บังคับให้ผู้เสียหายเดินไปที่บริเวณหน้าเสาธงนั้นพบคนร้ายมีจำเลยที่ 2 กับชายอีก 2 คนซึ่งสวมหมวกผ้าสีดำคลุมศีรษะและใบหน้าเป็นไอ้โม่งโผล่ให้เห็นเฉพาะลูกนัยน์ตาเท่านั้น โดยผู้เสียหายไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดแต่มีรูปร่างลักษณะคุ้น ๆ เหมือนกับเคยเห็นมาก่อน หลังจากจำเลยที่ 1 พาไปถึงรั้วกำแพงทางด้านทิศตะวันตกของโรงเรียนและมีการถามกันว่าจะเอาผู้เสียหายไปฆ่าที่ไหน โดยจำเลยที่ 1 เรียกขานชื่อจำเลยที่ 3 และชายร่างเล็กที่สวมหมวกคลุมหน้าพูดขึ้นว่าฆ่าตรงนี้แหละหมู่พวก ผู้เสียหายจึงว่าเป็นเสียงจำเลยที่ 4 โดยมีรูปร่างลักษณะตรงกับจำเลยที่ 4 ซึ่งตนรู้จักและเคยเห็นมาก่อน หลังเกิดเหตุจึงได้บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยที่ 4 ร่วมเป็นคนร้าย ดังนี้เห็นว่าคำเบิกความของผู้เสียหายไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจำรูปร่างและน้ำเสียงของจำเลยที่ 4 ได้โดยอาศัยหลักการสังเกตจากอะไรจำเลยที่ 4 มีลักษณะพิเศษต่างจากบุคคลทั่วไปอย่างไร เพียงบอกว่ารูปร่างคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นหรือรูปร่างลักษณะตรงกับจำเลยที่ 4โดยไม่ทราบว่าที่ว่าคุ้น ๆ นั้นคุ้นเช่นใดและตรงกับรูปร่างของจำเลยที่ 4 ในส่วนไหน ในเมื่อขณะเกิดเหตุคนร้ายซึ่งเป็นชายร่างเล็กสวมหมวกคลุมหน้าและผู้เสียหายเห็นหน้าไม่ชัดเจนเพราะอยู่ใต้เงาไม้และเมื่อจำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายเดินไปที่รั้วกำแพง ชายดังกล่าวก็เดินตามผู้เสียหายทั้งแสงสว่างจากไฟฟ้าที่บ้านพักครูก็อยู่ห่างถึงประมาณ 70 เมตร ผู้เสียหายจึงไม่มีโอกาสได้จดจำเพราะในทันทีที่คนร้ายพูดว่าฆ่าตรงนี้แหละหมู่พวก ผู้เสียหายถูกตีทำร้ายจนสลบหมดสติไป หลังเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 หรือญาติจำเลยที่ 4ได้ร่วมเจรจาค่าเสียหายกับผู้เสียหายในสองครั้งแรกด้วย แม้จำเลยที่ 4 จะเสนอใช้ค่าเสียหายตามคำเบิกความของผู้เสียหาย จำเลยที่ 4ก็มิได้ยอมรับว่าเป็นผู้กระทำผิดแต่อย่างใด เมื่อถูกจับจำเลยที่ 4ก็ปฏิเสธมาตลอดและไม่ได้หลบหนีไปไหน พยานหลักฐานโจทก์จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 4 ร่วมเป็นคนร้ายกระทำผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 4 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.