คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีก่อนมีประเด็นในเรื่องโจทก์ขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยขอให้ถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากโฉนดที่พิพาทและให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน และคดีนี้มีประเด็นเฉพาะเงินค่าเช่าห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาทที่จำเลยทั้งสี่ได้เรียกเก็บจากผู้เช่าระหว่างที่จำเลยที่ 4 ครอบครองที่พิพาทก็ตามแต่ค่าเช่าดังกล่าวเป็นดอกผลของที่พิพาทซึ่งมีมาตั้งแต่เมื่อโจทก์ฟ้องในคดีก่อนประเด็นในเรื่องกรรมสิทธิ์กับประเด็นในเรื่องค่าเช่า จึงเกี่ยวเนื่องจากมูลกรณีเดียวกัน โจทก์อาจฟ้องในเรื่องค่าเช่าพร้อมกับฟ้องในเรื่องกรรมสิทธิ์ได้ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก โจทก์จะรื้อร้องฟ้องในเรื่องค่าเช่าซึ่งอยู่ในประเด็นกรรมสิทธิ์ที่พิพาทซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีเรื่องก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ๑๒ คน เดิมกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเป็นของนายโต๊ะหมัด และนายโต๊ะดำ คนทั้งสองอุทิศให้แก่สุเหร่าวัดคิด และสร้างสุเหร่าในที่ดิน ขณะนั้นสุเหร่าวัดคิดยังไม่ฐานะเป็นนิติบุคคล จึงไม่อาจรับโอนที่ดินดังกล่าวได้ ที่ดินจึงตกทอดมาถึงจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โดยรับโอนไว้แทนสุเหร่าวัดคิด ต่อมาสุเหร่าวัดคิดจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งมัสยิดดุสลาม คือ โจทก์ในคดีนี้ โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอน โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสอง ระหว่างพิพากษาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ กับพวกสมคบกันไม่ให้โจทก์ได้รับโอนที่ดิน โดยจัดตั้งมูลนิธิขึ้น แล้วโอนที่ดินนั้นให้แก่มูลนิธิชื่อ มุสลิมนครศรีธรรมราชวัดคิดมูลนิธิ โจทก์จึงขอให้ศาลเรียกมูลนิธิดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วม คดีได้ถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองถอนชื่อออกจากโฉนดทั้งสองแปลง และให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน บัดนี้โจทก์ได้รับโอนโดยถูกต้องแล้ว การที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่มุสลิมนครศรีธรรมราชวัดคิดมูลนิธิจำเลยที่ ๔ ในคดีก่อน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับดอกผลของที่ดิน กล่าวคือที่ดินทั้งสองแปลงมีห้องแถว ๒ ชั้นรวม ๑๐ ห้อง จำเลยที่ ๔ ได้เรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่ารวมทั้งสิ้น ๒๒๙,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดและส่งมอบให้โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินดอกผลของทรัพย์โจทก์พร้อมค่าเสียหายเท่ากับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว
จำเลยทั้งสี่ให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีโจทก์ขาดอายุความ และฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน เพราะประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนี้อาศัยเหตุอย่างเดียวกับเหตุในคดีก่อน ขอให้พิพากษายกฟ้อง
วันชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เรียกเก็บค่าเช่าห้องแถว ๑๐ ห้อง ซึ่งโจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่านั้น ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีก่อน และเรียกเก็บจนกระทั่งได้โอนให้จำเลยที่ ๔ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่รับกันพอจะวินิจฉัยคดีได้แล้วจึงให้งดสืบพยาน และวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถึงแม้คดีนี้คู่ความจะพิพาทกันในเรื่องเงินค่าเช่าก็ตาม แต่เงินค่าเช่าดังกล่าวเป็นดอกผลของที่พิพาทซึ่งมีมาตั้งแต่เมื่อโจทก์ฟ้องในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินในคดีก่อน ประเด็นในเรื่องกรรมสิทธิ์กับประเด็นในเรื่องค่าเช่าจึงเกี่ยวเนื่องจากมูลกรณีเดียวกัน โจทก์อาจที่จะฟ้องในเรื่องค่าเช่าพร้อมกับฟ้องในเรื่องกรรมสิทธิ์ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ วรรคแรก กล่าวคือ เมื่อคดีในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่พิพาทถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงรื้อร้องฟ้องในเรื่องค่าเช่าซึ่งอยู่ในประเด็นกรรมสิทธิ์ที่พิพาทซึ่งถึงที่สุดแล้วไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share