แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์สอบถามเพื่อซื้อสินค้าจากจำเลย จำเลยวางเงื่อนไขว่าโจทก์จะต้องชำระราคาเป็นเงินสด 15% พร้อมกับใบสั่งสินค้า หลังจากนั้นโจทก์ได้ติดต่อขอลดราคาและขอให้ยื่นราคาต่อไปอีก จำเลยกำหนดให้โจทก์ชำระราคาเป็นเงินภายใน 4 วัน หลังจากการส่งมอบโดยมีธนาคารค้ำประกัน ไม่ได้กล่าวถึงการวางเงินสด 15% อีก โจทก์สั่งซื้อสินค้า จำเลยตอบรับว่าจะส่งสินค้าให้ ดังนี้ สัญญาซื้อขายเกิดขึ้นแล้ว จำเลยจะอ้างว่าสัญญายังไม่มีผลผูกพันเพราะโจทก์ไม่ได้ชำระเงิน 15% หาได้ไม่
ในระยะเวลาที่จำเลยสัญญาว่าจะส่งสินค้าให้โจทก์ดังกล่าว โจทก์ได้แจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยทราบถึงสองคราวว่า สินค้าดังกล่าว โจทก์ได้ตกลงขายต่อให้กับลูกค้าแล้ว หากจำเลยส่งสินค้าดังกล่าวล่าช้าไม่ทันกำหนด โจทก์จะต้องถูกปรับ จำเลยผิดสัญญาโจทก์ถูกลูกค้าปรับ ค่าปรับดังกล่าวถือได้ว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษที่จำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าปรับดังกล่าวด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยเสนอขอซื้อหัวรถยนต์สำหรับลากเทรลเล่อร์ (รถพ่วง) จำนวน ๓ คัน เพื่อขายให้แก่กรมชลประทาน ให้จำเลยส่งมอบภายใน ๑๘๐ วัน โจทก์จะชำระราคาภายใน ๔๕ วันนับแต่วันรับมอบรถ และโจทก์ได้รับหนังสือตอบสนองรับคำเสนอซื้อของจำเลยแล้ว ต่อมาจำเลยกลับมีหนังสือแจ้งยกเลิกการซื้อขายกับโจทก์โดยจำเลยไม่มีสิทธิจะทำได้ ทำให้โจทก์เสียหายคือขาดกำไรที่ควรให้รับจากรถ ๓ คันเป็นเงิน ๗๗,๑๐๐ บาท โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายซื้อหัวรถยนต์ ๓ คัน สูงขึ้นเป็นเงิน ๑๔๗,๙๐๐ บาท โจทก์ถูกกรมชลประทานปรับเดือนละ ๖๓,๑๐๕ บาท ถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๔๕,๑๔๑ บาท ๕๐ สตางค์ รวมค่าเสียหายถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓๗๐,๑๔๑ บาท ๕๐ สตางค์ และจะต้องถูกปรับจนกว่าได้รับหัวรถยนต์จากบริษัทใหม่บอกกล่าวให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๗๐,๑๔๑ บาท ๕๐ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์เคยติดต่อสอบถามราคาและเงื่อนไขเพื่อจะซื้อหัวรถยนต์ลากรถเทรลเล่อร์ (รถพ่วง) จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบรายละเอียด ต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งว่าโจทก์จะสั่งซื้อหัวรถยนต์ลากรถเทรลเล่อร์โดยไม่ขำระเงินมัดจำถือว่าเป็นใบสั่งซื้อที่ไม่แน่นอน จึงมีหนังสือถึงโจทก์ยกเลิกการสั่งซื้อ จำเลยไม่ผิดสัญญา จำเลยไม่ทราบว่าโจทก์ทำสัญญาซื้อขายหัวรถยนต์ลากรถเทรลเล่อร์กับกรมชลประทานโจทก์ไม่เสียหาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๔๓๒,๕๒๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๑๘ จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าให้จำเลยใช้เงิน ๕๙,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยมีขึ้นแล้วหรือไม่ เห็นว่า เดิมเมื่อโจทก์ติดต่อสอบถามราคาและรายละเอียดเกี่ยวกับหัวรถลากเทรลเล่อร์จากจำเลย จำเลยวางเงื่อนไขไว้ว่าโจทก์จะต้องชำระราคาเป็นเงินสด ๑๕% พร้อมใบสั่งตามเอกสารหมาย ล.๑ ก่อน จำเลยจึงจะตกลงส่งของให้ยืนราคาต่อไปอีกตามเอกสารหมาย ล. ๒ จำเลยตอบตามเอกสาร ล.๓ ว่า ลดราคาไม่ได้ ส่วนการจ่ายเงินนั้น กำหนดให้โจทก์ชำระเป็นเงินสดภายใน ๔๕ วัน หลังจากวันส่งมอบ การจ่ายเงินต้องมีหนังสือค้ำประกันของธนาคาร เงื่อนไขที่กำหนดให้โจทก์ชำระเงินสด ๑๕% พร้อมใบสั่งที่จำเลยกำหนดไว้ในครั้งแรกตามเอกสารหมาย ล. ๑ นั้นมิได้กล่าวถึง แสดงว่าจำเลยผ่อนปรนต่อโจทก์ โดยให้โจทก์มีหนังสือค้ำประกันการจ่ายเงินจากธนาคารเท่านั้น ไม่ต้องชำระเงินสด ๑๕% พร้อมใบสั่งก่อน ต่อมาโจทก์มีหนังสือคือเอกสารหมาย ล. ๔ (ล.๕) ให้จำเลยส่งของตามเงื่อนไขที่จำเลยตอบโจทก์คือเอกสารหมาย ล.๓ ดังนี้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยได้มีขึ้นแล้วที่เห็นได้ชัดก็คือ หลังจากโจทก์มีหนังสือลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๑๖ ให้จำเลยส่งของต่อมาวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๑๖ จำเลยมีหนังสือท้าวความถึงหนังสือของโจทก์ดังกล่าวใจความสำคัญว่า จำเลยได้รับใบสั่งซื้อของโจทก์ดังกล่าวแล้ว และยืนยันพร้อมที่จะส่งรถตามที่โจทก์สั่งซื้อให้กับโจทก์ภายใน ๑๘๐ วันนับแต่วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๑๖ เป็นต้นไป จำเลยมิได้ปฏฺเสธไม่ส่งของให้โจทก์โดยอ้างเหตุที่โจทก์มิได้ชำระราคา ๑๕% พร้อมใบสั่งดังที่จำเลยฎีกาแต่อย่างใด ต่อมาวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จำเลยมีหนังสือเอกสารหมาย ล.๗ ขอยกเลิกการสั่งรถ เหตุที่ขอยกเลิกอ้างแต่เพียงว่า เนื่องจากมีเหตุขัดข้องบางประการมิได้อ้างว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในข้อที่ว่าโจทก์จะต้องชำระราคาเป็นเงินสด พร้อมใบสั่งกระทั่งเวลาล่วงมาถึงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๖ จำเลยจึงมีหนังสือเอกสารหมาย ล.๘ แจ้งให้โจทก์ทราบว่า โจทก์ยังไม่ได้ชำระเงิน ๑๕% ของราคาสินค้า ถือว่ายังไม่มีผลผูกพันในการซื้อขายต่อกัน และอ้างว่าได้เกิดวิกฤติกาลในการผลิตสินค้าของบริษัทผู้ผลิต ฉะนั้นจึงแจ้งยืนยันยกเลิกหนังสือเสนอราคาซื้อของจำเลย ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่มีต่อกันนั้นฟังไม่ขึ้น
เกี่ยวกับค่าเสียหายที่จำเลยไม่ส่งสินค้าให้โจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ถูกกรมชลประทานปรับนั้น เห็นว่าขณะเกิดสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลย จำเลยไม่ทราบว่าถ้าจำเลยไม่ส่งสินค้าให้โจทก์ โจทก์จะถูกกรมชลประทานปรับก็จริงอยู่ แต่ระหว่างที่จำเลยสัญญาว่า จะส่งสินค้าให้โจทก์ภายใน ๑๘๐ วันนั้นเอง โจทก์ได้แจ้งให้จำเลย+ตามเอกสารหมาย จ.๕ ว่า สินค้า (หัวรถสำหรับลากเทรลเล่อร์) ที่โจทก์สั่งซื้อ่จากจำเลยนั้น โจทก์ได้ขายต่อให้กับลูกค้าแล้ว หากจำเลยส่งของดังกล่าวช้ากว่ากำหนดที่ตกลงกันไว้อันเป็นเหตุให้โจทก์ต้องถูกปรับ จำเลยจะต้องรับผิดชอบในการถูกปรับนี้ด้วย นอกจากนี้เมื่อใกล้จะครบกำหนดสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลย โจทก์ยังมีหนังสือเอกสารหมาย จ.๘ แจ้งให้จำเลยทราบว่า หากจำเลยส่งของไม่ทันตามกำหนด โจทก์จะต้องถูกปรับรอยละห้าของยอดเงินขายทั้งหมด เห็นว่า ค่าปรับที่โจทก์จะต้องถูกกรมชลประทานปรับนั้น เป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษที่จำเลยได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดค่าปรับดังกล่าวเป็นเงินเท่าใดนั้นได้ความว่าโจทก์ไม่อาจส่งมอบของให้แก่กรมชลประทานภายในกำหนด โจทก์จะต้องถูกปรับร้อยละ ๕ ต่อเดือนของราคาที่โจทก์ขายให้แก่กรมชลประทาน (คือราคาที่ศาลกำหนดว่า โจทก์ควรได้กำไรร้อยละ ๕ ของราคาที่ซื้อจากจำเลย) คิดเป็นเงินคันละ ๔๑๔,๗๕๐ บาท ค่าปรับร้อยละ ๕ ต่อเดือนเป็นเงิน ๒๐,๗๓๗ บาท ๕๐ สตางค์ รวม ๓ คันเป็นเงินค่าปรับเดือนละ ๖๒,๒๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ ค่าปรับจากวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๑๗ ถึงวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๑๘ เป็นเงิน ๓๗๓,๒๗๕ บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากาานั้นยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ๓๗๓,๒๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์