คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2696/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ตายได้อยู่กินเป็นภริยาจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 10 กว่าปี และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามนับแต่นั้น จนถึงแก่ความตายเมื่อกลางปี 2540 ขณะมีอายุ 65 ปี จำเลยที่ 1 ได้ทำพิธีศพของผู้ตายตามประเพณีที่ผู้ตายนับถือ แม้จำเลยที่ 1 มิได้เป็นทายาทของผู้ตายและไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำศพผู้ตาย แต่จำเลยที่ 1 อยู่กินเป็นสามีภริยากับผู้ตายมานานกว่า 10 ปี นับได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอต่อศาลให้ตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการทำศพผู้ตายได้ หากเห็นว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกมากที่สุดอันมีอำนาจหน้าที่จัดการทำศพของผู้ตายไม่สมควรเป็นผู้จัดการทำศพได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1649 วรรคสอง การที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การต่อสู้คดีพอถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอตามบทกฎหมายดังกล่าว แต่เมื่อศพผู้ตายได้มีการฝังแล้วตามหลักศาสนาอิสลาม จึงหมดความจำเป็นที่จะนำศพผู้ตายขึ้นมาจัดการทำศพ โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกให้ส่งมอบศพผู้ตายให้แก่โจทก์เพื่อจัดการทำศพอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายคนหนึ่งในจำนวนสามคนของนางถนอมและนายประเสริฐ ฤทธิ์เต็ม จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทมัสยิดตามศาสนาอิสลาม นายประเสริฐและนางถนอมได้แยกทางกันอยู่ ต่อมานางถนอมไปอยู่กินเป็นภริยาจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2540 นางถนอมถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 นำศพนางถนอมไปฝังไว้ที่มัสยิดจำเลยที่ 2 โดยพนักงานสอบสวนยังมิได้ทำการชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุแห่งการตาย โจทก์และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปขอรับศพของนางถนอมเพื่อนำศพไปชันสูตรหาสาเหตุแห่งการตายและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมให้โจทก์นำศพของนางถนอมไปเนื่องจากสภาพศพของนางถนอมมีรอยฉีกขาดที่บริเวณปาก และมีรอยจ้ำสีแดงที่บริเวณผิวหนัง และโจทก์ทราบว่านางถนอมกับจำเลยที่ 1 มีเรื่องทะเลาะวิวาทตบตีกันเป็นประจำ โจทก์จึงไม่เชื่อว่านางถนอมจะถึงแก่ความตายด้วยสาเหตุชรา การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ผู้เป็นทายาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบศพของนางถนอม ฤทธิ์เต็ม ให้แก่โจทก์และพนักงานสอบสวนเพื่อนำส่งโรงพยาบาลนิติเวชทำการตรวจชันสูตรพลิกศพหาสาเหตุแห่งการตายเพื่อโจทก์จะได้นำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถส่งมอบได้ขอให้ศาลสั่งให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการแทน โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางถนอมผู้ตาย และโจทก์มิได้เป็นผู้จัดการมรดกหรือบุคคลที่ผู้ตายตั้งไว้เพื่อจัดการทำศพของผู้ตาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการทำศพผู้ตาย ผู้ตายกับจำเลยที่ 1 อยู่กินฉันสามีภริยากันอย่างถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม และนับถือศาสนาอิสลามมาตลอด กับได้สั่งเสียมอบหมายจำเลยที่ 1 ว่า เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายก็ให้จำเลยที่ 1 จัดการศพผู้ตายให้ถูกต้องตามหลักการของศาสนาอิสลาม ผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคชราเพราะอายุมากแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ทั้งการที่จำเลยทั้งสองจัดการนำศพของผู้ตายไปฝังที่สุสานมัสยิดอิสลามซึ่งถือเป็นศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ไม่อาจขุดศพของผู้ตายขึ้นมาได้เพราะเป็นการผิดหลักการของศาสนาอิสลามอย่างแรง เมื่อโจทก์ไม่ใช่ทายาทที่มีสิทธิรับมรดก หรือผู้จัดการมรดก หรือบุคคลที่ผู้ตายแต่งตั้งหรือมอบหมายให้เป็นผู้จัดการศพของผู้ตายแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จำนำศพผู้ตายไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม ศาลมีคำสั้งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบศพนางถนอม ฤทธิ์เต็ม ผู้ตายให้แก่โจทก์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเห็นสมควรให้เป็นพับและคำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกาว่า โจทก์เป็นบุตรของผู้ตาย ภายหลังจากผู้ตายแยกทางกับบิดาโจทก์แล้ว ต่อมาผู้ตายได้มาอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 10 กว่าปีจนถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2540 จำเลยที่ 1 นับถือศาสนาอิสลามได้ประกอบพิธีศพผู้ตายตามศาสนาอิสลามและนำไปฝังไว้ที่สุสานมัสยิดของจำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องจัดการศพและฝังภายในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมงนับแต่เสียชีวิตตามบทบัญญัติของศาสนา และตามหลักศาสนาอิสลามผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจะสมรสกับคนที่นับถือศาสนาอื่นไม่ได้ ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นอยู่จะต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามก่อนจึงจะสมรสกับคนที่นับถือศาสนาอิสลามได้ ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจเรียกให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบศพผู้ตายให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่าผู้ตายได้อยู่กินเป็นภริยาจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 10 กว่าปี ผู้ตายมีชื่อในทะเบียนสัปบุรุษประจำมัสยิดจำเลยที่ 2 ประกอบการแต่งกายของผู้ตายที่โพกผ้าคลุมศีรษะอย่างประเพณีหญิงที่นับถือศาสนาอิสลามที่ปรากฏตามภาพถ่ายในหนังสือเดินทางเมื่อปลายปี 2539 แสดงว่าผู้ตายได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามนับแต่มาอยู่กินเป็นภริยาจำเลยที่ 1 จนถึงแก่ความตายเมื่อกลางปี 2540 ขณะที่มีอายุ 65 ปี ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ทำพิธีศพของผู้ตายตามแบบประเพณีที่ผู้ตายนับถืออยู่ขณะถึงแก่ความตายนับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องสมควรแก่จารีตประเพณีท้องถิ่นที่ดีงาม ที่บุคคลเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียกับผู้ตายจำเป็นต้องเป็นธุระจัดการศพหลังการตายให้และเพื่อสุขอนามัยของชุมชน คดีนี้แม้จำเลยที่ 1 มิได้เป็นทายาทของผู้ตายและไม่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการทำศพผู้ตาย แต่จำเลยที่ 1 อยู่กินเป็นสามีภริยากับผู้ตายมานานกว่า 10 ปี นับได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอต่อศาลให้ตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้จัดการทำศพผู้ตายได้ หากเห็นว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกมากที่สุดอันมีอำนาจหน้าที่จัดการทำศพของผู้ตายไม่สมควรเป็นผู้จัดการทำศพได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1649 วรรคสอง การที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การต่อสู้คดีพอถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอตามบทกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น เมื่อศพผู้ตายได้มีการจัดการฝังแล้วตามหลักศาสนาอิสลามที่ผู้ตายนับถือ จึงหมดความจำเป็นที่จะนำศพผู้ตายขึ้นมาจัดการทำศพ โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกให้ส่งมอบศพผู้ตายให้แก่โจทก์เพื่อจัดการทำศพอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาข้ออื่นของโจทก์ไม่ทำให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้สั่งเกี่ยวกับค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นด้วยนั้นเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสีย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share