แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนัน ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ปรับสถานเดียว 1,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เฉพาะโทษเป็นจำคุกสถานเดียวมีกำหนด 1 เดือน แต่ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทนเป็นกรณีแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย ไม่ต้องห้ามจำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามสิบเอ็ดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12, 15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ริบของกลาง และจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามสิบเอ็ดให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามสิบเอ็ดมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 4, 5, 6, 10, 12 (ที่ถูก มาตรา 12 (2)),15 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่น ปรับ 2,000 บาท ฐานเข้าเล่น ปรับ 1,600 บาท จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 31 ฐานเข้าเล่น ปรับคนละ 1,600 บาท จำเลยทั้งสามสิบเอ็ดให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1 คงปรับ 1,800 บาท จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 31 คงปรับคนละ 800 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบแผ่นโพยบอกราคาต่อรองมวยตู้ของกลาง และให้จำเลยทั้งสามสิบเอ็ดจ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่าปรับ ยกคำขอให้ริบโทรทัศน์สีของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการเขต 3 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นจำคุก 2 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 เดือน และปรับ 800 บาท ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 เฉพาะข้อหาความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับขึ้นมาว่ากรณีมีเหตุสมควรรอการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งหมดได้พร้อมของกลางเพียงโทรทัศน์สีจำนวน 1 เครื่อง และแผ่นโพยบอกราคาต่อรองมวยตู้จำนวน 2 แผ่น แม้ผู้เข้าเล่นจะมีจำนวนถึง 31 คน ตามพฤติการณ์ก็ยังไม่อาจแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าเป็นบ่อนการพนันขนาดใหญ่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรรอการลงโทษเพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 1 กลับตัวเป็นพลเมืองดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 แล้วเปลี่ยนเป็นโทษกักขังแทนโดยไม่รอการลงโทษให้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1 หลาบจำและเพื่อเป็นการป้องปรามมิให้จำเลยที่ 1 กระทำความผิดในทำนองนี้อีก รวมทั้งเพื่อให้มีเจ้าพนักงานคอยแนะนำ ช่วยเหลือ ตักเตือนหรือสอดส่องดูแลให้จำเลยที่ 1 สามารถกลับตัวได้อย่างแท้จริง จึงเห็นสมควรลงโทษปรับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้อีกสถานหนึ่ง และคุมความประพฤติจำเลยที่ 1 ไว้ด้วย ทั้งเมื่อลงโทษปรับจำเลยที่ 1 แล้ว จึงให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินสินบนนำจับในความผิดฐานนี้เสียด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นอีกสถานหนึ่ง เป็นเงิน 2,000 บาท ลงโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 1,000 บาท เมื่อรวมกับโทษปรับในความผิดฐานเข้าเล่นแล้ว รวมปรับ 1,800 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 1 ให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี และคุมความประพฤติจำเลยที่ 1 ไว้ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 1 ฟัง โดยให้จำเลยที่ 1 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยที่ 1 ละเว้นความประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดทำนองนี้อีกกับให้จำเลยที่ 1 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 1 เห็นสมควร มีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมาย มาตรา 29, 30 ให้จำเลยที่ 1 จ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของจำนวนเงินค่าปรับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3