คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2548

แหล่งที่มา :

ย่อสั้น

การที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทและให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสี่ เป็นการฟ้องเรียกให้ได้ทรัพย์มรดกกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสี่ จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท และโจทก์ทั้งสี่ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระค่าขาดประโยชน์จำนวน 60,000 บาท จึงเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เพราะเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดินทรัพย์มรดกที่โจทก์ทั้งสี่ตีราคาเป็นทุนทรัพย์รวมกันราคา 201,000 บาท ที่ดินของโจทก์แต่ละคนฟ้องขอแบ่งจึงมีราคาไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้น ราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนางคิ้มผู้ตาย ผู้ตายถึงแก่ความตายไปประมาณ 40 ปี แล้ว ก่อนตายผู้ตายมีทรัพย์สินได้แก่ที่ดินโฉนดพิพาท จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์ที่ 1 ที่ 4 และจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยักย้ายปิดบังทรัพย์มรดกด้วยการฉ้อฉลใช้อุบายหลอกโจทก์ที่ 1 และที่ 4 ให้ถอนชื่อออกจากโฉนดที่ดินแล้วโอนใส่ชื่อจำเลยทั้งสี่ลงในโฉนดพิพาท ขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่ดินโฉนดพิพาท ให้กำจัดจำเลยที่ 1 มิให้ได้มรดกในที่ดินพิพาท และให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาท หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าขาดประโยชน์จำนวน 60,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วนที่ได้รับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมที่ดินโฉนดเลขที่ 1015 ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2539 ถึงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2540 ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสี่ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนและกำจัดจำเลยที่ 1 มิให้ได้รับมรดกในที่ดินดังกล่าว โดยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 3,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสี่สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “การที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทและให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสี่นั้น เป็นการฟ้องเรียกให้ได้กลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสี่ คดีของโจทก์ทั้งสี่จึงเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนราคาที่ดินพิพาท และโจทก์ทั้งสี่ก็ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระค่าขาดประโยชน์จำนวน 60,000 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสี่ด้วย จึงเป็นหนี้อันอาจแบ่งแยกได้ แม้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องรวมกันมา การอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เพราะเป็นเรื่องโจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะของตน เมื่อที่ดินทรัพย์มรดกที่โจทก์ทั้งสี่ตีราคาเป็นทุนทรัพย์รวมกันมามีราคา 201,000 บาท ที่ดินแต่ละส่วนที่โจทก์แต่ละคนฟ้องกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้น ราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาสำหรับโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง…”
พิพากษายกฎีกาโจทก์ทั้งสี่ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ทั้งสี่

Share