คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

การบอกเลิกการเช่าซึ่งโจทก์บอกกล่าวแก่ห้างจำเลยที่1โดยส่งหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่2ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับฝ่ายจำเลยไม่ยอมรับถือว่าได้บอกกล่าวโดยชอบแล้ว โจทก์เรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าที่พิพาทอยู่ในย่านชุมชนมีรถประจำทางผ่านหลายสายถ้าโจทก์นำไปสร้างศูนย์การค้าหรืออาคารชุด(คอนโดมิเนียม)จะมีรายได้เดือนละ20,000บาทแต่เป็นเพียงความคาดหมายไม่แน่นอนว่าจะมีรายได้เท่านั้นจริงศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายที่โจทก์จะพึงได้รับตามที่เห็นสมควร ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความในคดีเป็นดุลพินิจคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือดำเนินคดีของคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา161.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4309 แขวงบางซื่อ (บางซ่อน)เขตบางซื่อ (ดุสิต) กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 3 ไร่ 70 ตารางวา โดยรับซื้อฝากมาจากนางช้อง ขำสายทอง เมื่อ พ.ศ. 2509 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการเช่าที่ดินบางส่วนตามโฉนดดังกล่าวเนื้อที่ 1 ไร่เศษจากเจ้าของเดิมประกอบกิจการโรงเลื่อยจักรมีกำหนด 12 ปี ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว จำเลยก็ยังใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนนี้อยู่ โจทก์ประสงค์จะใช้ประโยชน์จากที่ดินแปลงนี้ ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป แต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหายขาดค่าเช่าที่จะพึงได้รับจากที่ดินส่วนนี้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันที่ 25 เมษายน 2523 ซึ่งเป็นวันที่กรรมสิทธิ์ในที่ดินตกเป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารรวมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปกับให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันที่ 25 เมษายน 2523 จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินตามฟ้อง ไม่มีอำนาจฟ้องที่ดินดังกล่าวเป็นของนายห้อย มงคลฤกษ์ บิดานางช้อง นางช้องไม่มีสิทธิเอาที่ดินนี้ไปขายฝากให้โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้เช่าที่ดินส่วนนี้จากเจ้าของเดิมและจำเลยทั้งสองไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนี้ ไม่มีสิทธิรื้อถอนขนย้ายได้ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวจำเลยออกไป จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายได้และค่าเสียหายนี้ก็ไม่เกินเดือนละ 848 บาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและเป็นฟ้องซ้ำขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินตามฟ้อง ห้ามเกี่ยวข้องอีก ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000บาท นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2521 จนกว่าจะออกไปจากที่พิพาทตามคำขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมเท่าที่โจทก์ชนะคดีแทนโจทก์ โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2521 นั้น เกินคำขอตามฟ้อง โดยโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2523 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 21 เดือนและค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ต่ำไป พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 210,000 บาท และค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องเดือนละ10,000 บาท จนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา ในปัญหาเกี่ยวกับการบอกกล่าวเลิกการเช่า ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลังจากสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปโดยหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ฝ่ายจำเลยไม่ยอมรับถือว่าได้บอกกล่าวโดยชอบแล้ว เมื่อจำเลยไม่ยอมออกไปทั้งที่ไม่มีสิทธิอยู่ในที่พิพาท โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการได้ ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่าค่าเสียหายไม่ควรเกินเดือนละ 2,000 บาท ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.1 และ ล.3 ที่ทำเมื่อวันที่1 มิถุนายน 2509 ข้อ 2 ผู้เช่าต้องเสียค่าเช่าล่วงหน้าหรือที่เรียกว่าเงินกินเปล่าให้ผู้ให้เช่าเป็นเงิน 122,112 บาท ระยะเวลา 12 ปี เฉลี่ยค่าเช่าล่วงหน้าเดือนละ800 กว่าบาท และสัญญาข้อ 4 ต้องชำระค่าเช่ารายเดือน เดือนละ 848 บาทค่าเช่าในระยะ 12 ปี ถึง พ.ศ. 2521 จึงตกเดือนละ 1,600 กว่าบาท โจทก์ฟ้องจำเลยเมื่อ พ.ศ. 2523 และนำสืบว่าที่พิพาทอยู่ในย่านชุมชน มีรถประจำทางผ่านหลายสาย ถ้าโจทก์นำไปสร้างศูนย์การค้าหรืออาคารชุด (คอนโดมิเนียม)ก็จะมีรายได้เดือนละ 20,000 บาท ก็เป็นเพียงความคาดหมายที่ไม่แน่นอนและในการนี้โจทก์ก็จะต้องลงทุนเป็นจำนวนสิบสิบล้านบาทขึ้นไป ดังนั้นค่าเสียหายที่โจทก์จะพึงได้รับ ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดให้เดือนละ 5,000 บาท ในปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชนะในประเด็นค่าเสียหายควรจะให้โจทก์รับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม แต่กลับให้จำเลยรับผิดเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเกี่ยวกับความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเป็นดุลพินิจของศาลโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือดำเนินคดีของคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161คดีนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยรับผิดในเรื่องค่าเสียหายก็เพียงกำหนดระยะเวลาน้อยลง แต่กลับเพิ่มค่าเสียหายขึ้นอีกถึงห้าเท่าตัว ซึ่งเท่ากับจำเลยแพ้คดีในชั้นอุทธรณ์ทุกประเด็น ที่ศาลอุทธรณ์สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาทตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2523 จนกว่าจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่พิพาทเรียบร้อย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share