คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมิได้ระบุพยานไว้ จึงขออ้างตนเองเป็นพยานเมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงอนุญาตให้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานได้ คำเบิกความเป็นพยานของจำเลยก็ย่อมรับฟังได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 2 มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดิน2 แปลง โดยโจทก์มีกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดินบริเวณที่โจทก์ปลูกบ้านกับที่โจทก์ได้ครอบครองอยู่ในปัจจุบัน ส่วนที่เหลือนอกนั้นเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันละเมิดต่อโจทก์โดยขุดดินเป็นคูปิดกั้นกีดขวางทางเข้าออกประตูบ้านโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยจัดการถมคูและใช้ค่าเสียหาย

จำเลยสู้ว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดินอันเป็นบริเวณที่โจทก์ปลูกบ้านเรือนอยู่เท่านั้น และฟ้องแย้งว่าโจทก์รื้อรั้วทำลายแนวเขต แล้วบุกรุกเข้าไปในที่ดินจำเลย ขอให้ห้ามโจทก์ไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ไม่ได้ละเมิดสิทธิของจำเลย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อนำสืบของโจทก์จำเลยยังฟังไม่ได้ว่าที่ดินตรงที่ขุดคูเป็นของฝ่ายใด ต้องสันนิษฐานว่าที่ดินพิพาทโจทก์จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของร่วมกัน ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลย

โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าเขตที่ดินของโจทก์ทิศเหนือมีกอไผ่เป็นเขตตามแนวรวมลงมาถึงด้านทิศตะวันออก และทิศตะวันตก คูพิพาททั้งสามด้านนอกจากทิศเหนือคงให้เป็นเจ้าของร่วมกันตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่ดินนอกแนวกอไผ่เป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมิได้ระบุพยานไว้ จึงขออ้างตนเองเป็นพยาน เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงอนุญาตให้จำเลยทั้งสองอ้างตนเองเป็นพยานได้แล้ว คำเบิกความเป็นพยานของจำเลยก็ย่อมรับฟังได้ คำเบิกความของโจทก์ฟังเป็นจริงไม่ได้และจะฟังว่าที่ดินบริเวณบ้านที่ตกได้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมมีอยู่ตามที่โจทก์นำชี้หาได้ไม่ และฟังไม่ได้ว่าคูที่จำเลยขุดรุกล้ำเข้ามาในเขตที่ดินของโจทก์ ตามแผนที่พิพาทแสดงว่าคูอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ที่ครอบครองอยู่ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดเรื่องค่าเสียหายต่อโจทก์

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share