แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สี่แยกที่เกิดเหตุไม่มีสัญญาณไฟจราจร และรถของจำเลยกับรถของ ป. แล่นมาคนละทางแล้วชนกันตรงบริเวณสี่แยก ปรากฏว่ารถของ ป. แล่นมาถึงสี่แยกก่อน จำเลยจึงจะต้องหยุดหรือชะลอรถของจำเลยแล้วปล่อยให้รถของ ป.ผ่านไปก่อน แต่จำเลยกลับขับรถต่อไปจนเกิดเหตุชนกันขึ้น ดังนี้ ถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาท.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถมาตามถนนนครไชยศรีโดยประมาทกล่าวคือ เมื่อจำเลยขับรถมาถึงบริเวณสี่แยกถนนนครไชยศรีตัดกับถนนสวรรคโลกจำเลยไม่ชะลอความเร็วและหยุดรถ ให้รถที่เข้ามาในบริเวณสี่แยกและรถในบริเวณสี่แยกแล่นผ่านไปหมดแล้วจึงขับรถผ่านสี่แยกไป จำเลยได้ขับรถผ่านเข้าสี่แยกด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้ชนรถของ ป. ที่ผ่านเข้ามาในบริเวณสี่แยกได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษปรับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า รถยนต์ของจำเลยและของ ป. ชนกันตรงบริเวณสี่แยกถนนสวรรคโลกและถนนนครไชยศรีตัดกัน ไม่มีสัญญาณไฟจราจรตรงบริเวณสี่แยกดังกล่าว.เมื่อพิเคราะห์แผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมายจ.1 แล้วเห็นได้ว่า ตามจุดที่เกิดเหตุแสดงอยู่ว่ารถยนต์เก๋ง(ของ ป.) แล่นเลยกึ่งกลางสี่แยกเกือบจะถึงฝั่งตรงข้ามแล้วแสดงว่ารถยนต์เก๋งแล่นมาถึงทางแยกก่อน ชอบที่ฝ่ายจำเลยจะปล่อยให้รถยนต์เก๋งซึ่งถึงทางแยกก่อนผ่านไปก่อน โดยหยุดหรือชะลอรถของจำเลยไว้เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดอุบัติเหตุ แทนที่จะขับตรงไปจนเกิดเหตุคดีนี้ จากเหตุผลดังกล่าว ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยขับรถโดยประมาท ไม่ชะลอความเร็วของรถเพื่อให้เกิดความปลอดภัย จึงเกิดอุบัติเหตุในคดีนี้ขึ้น…
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.