คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2689/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทธุรกิจเงินทุนและค้าหลักทรัพย์ เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการบริหาร และจำเลยที่ 5 ที่ 6 เป็นเจ้าหน้าที่บริหาร จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นผู้บริหารและเกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อขายหลักทรัพย์และจดทะเบียนหลักทรัพย์ในนามของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เอาหุ้นของโจทก์ซึ่งเป็นลูกค้าของจำเลยที่ 1 ไปขายโดยไม่ได้รับคำสั่งจากโจทก์โจทก์ย่อมเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยทั้งหก โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ฟ้องจำเลยทั้งหกในความผิดตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยพ.ศ. 2517 มาตรา 21, 42 วรรคสองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทธุรกิจเงินทุนและค้าหลักทรัพย์มีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๔เป็นกรรมการผู้จัดการฝ่ายหลักทรัพย์และลงทุน จำเลยที่ ๕ เป็นผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์โครงการจำเลยที่ ๖ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส และจำเลยที่ ๑ เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ ๑ ได้มอบหมายให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับมอบอำนาจเป็นตัวแทนและนายหน้าในการซื้อและขายหลักทรัพย์ของโจทก์ ซึ่งเป็นใบหุ้นของบริษัทจำกัดต่าง ๆ แทนโจทก์ โดยกระทำตามคำสั่งของโจทก์แต่ละครั้งไป โดยโจทก์ต้องนำตั๋วสัญญาใช้เงินไปวางไว้เป็นประกันและเปิดบัญชีเดินสะพัดกับจำเลยที่ ๑ ใบหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์โจทก์สั่งซื้อจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ครอบครองไว้แทนโจทก์เพื่อเป็นหลักประกันกับได้ทำหนังสือมอบอำนาจและแต่งตั้งจำเลยที่ ๑ เป็นนายหน้าและตัวแทนโจทก์ เมื่อวันที่ ๑๒ และ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันฉ้อโกงโจทก์โดยทำหนังสือบอกกล่าวโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ ได้ซื้อหุ้นของบริษัทราชาเงินทุนจำกัดให้โจทก์ตามคำสั่งรวม ๑,๕๐๐ หุ้นโดยระบุว่าจำนวนหุ้นและราคาหุ้นต่อหน่วย และได้ออกใบแจ้งหนี้ว่า โจทก์เป็นลูกหนี้รวมเป็นเงิน๑,๔๖๘,๓๐๕ บาทให้โจทก์ลงชื่อยืนยันการซื้อ โจทก์หลงเชื่อตามคำหลอกลวงของจำเลยจึงลงชื่อในเอกสารดังกล่าว ซึ่งความจริงจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๖ ไม่ได้ซื้อหุ้นไม่ได้ออกเงินทดรองจ่ายซื้อหุ้นให้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๒๒จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันครอบครองใบหุ้นของบริษัทราชาเงินทุนจำกัดของโจทก์จำนวน ๒๐๐ หุ้น โดยไม่ได้รับคำสั่งให้ขายจากโจทก์ ได้เบียดบังเอาใบหุ้นดังกล่าวของโจทก์เป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต หรือมิฉะนั้นจำเลยทั้งสามขายหุ้นของโจทก์ไป โดยประพฤติผิดหน้าที่โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของโจทก์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินและเมื่อระหว่างวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๒๒ ถึงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ ที่ ๕ และที่ ๖ ร่วมกันปลอมแปลงตราสารโอนหุ้นโอนหุ้นบริษัทราชาเงินทุนจำกัดจากชื่อโจทก์เจ้าของหุ้นเป็นของบุคคลอื่นโดยระบุข้อความแสดงว่าโจทก์โอนหุ้นจำนวน ๒๐๐ หุ้นไปแสดงต่อนายทะเบียนหุ้นของบริษัทราชาเงินทุนจำกัด จนนายทะเบียนโอนหุ้นดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑, ๓๕๒, ๓๕๓, ๓๕๔, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๘๓, ๕๐ พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๔๒
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ มีมูลในความผิดฐานฉ้อโกง และยักยอก สำหรับจำเลยที่ ๔ ที่ ๖ มีมูลเฉพาะในความผิดฐานฉ้อโกง จำเลยที่ ๕ คดีไม่มีมูลและคดีจำเลยที่ ๑ มีมูลในความผิดตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๔๒ ด้วย และคดีจำเลยที่ ๑ ที่ ๕ ที่ ๖ ไม่มีมูลในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้ประทับฟ้องเฉพาะความผิดที่มีมูล นอกนั้นให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ บัญญัติว่า “ห้ามมิให้สมาชิก ฯลฯ (๒) กระทำการใด ๆ โดยมีเจตนาทุจริตในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์อนุญาต” หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เอาหลักทรัพย์ของโจทก์ซึ่งเป็นลูกค้าของจำเลยที่ ๑ ไปขายโดยไม่ได้รับคำสั่งจากโจทก์ โจทก์ย่อมเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยทั้งหก โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๔)พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๒๑(๒)บัญญัติห้ามสมาชิกตลาดหลักทรัพย์กระทำการทุจริตเท่านั้น หาได้บัญญัติว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ดังนั้นจึงต้องพิจารณาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒(๔) เมื่อโจทก์เป็นผู้เสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งหกในข้อหาดังกล่าวได้ และคดีได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ซึ่งเป็นกรรมการบริหารของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๕ ที่ ๖ เป็นเจ้าหน้าที่บริหารของจำเลยที่ ๑และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการซื้อขายหลักทรัพย์และจดทะเบียนหลักทรัพย์ในนามจำเลยที่ ๑ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นกรรมการของจำเลยที่ ๑และเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาตรา ๔๒ วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่สมาชิกกระทำผิดเพราะฝ่าฝืนตามมาตรา ๒๑ กรรมการของสมาชิกหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของสมาชิก ต้องระวางโทษฯ” ดังนี้ เมื่อคดีจำเลยที่ ๑ มีมูลว่าจำเลยที่ ๑ ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๒๑ และมาตรา ๔๒ คดีจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ย่อมมีมูลด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ในความผิดต่อพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๒๑และมาตรา ๔๒ วรรคสอง อีกข้อหาหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share