คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2688/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าผู้เสียหายได้ลักเอาสติกเกอร์ของห้างซึ่งจำเลยมีหน้าที่ช่วยดูแลกิจการอยู่ไป การที่จำเลยบอกให้ผู้เสียหายเสียค่าปรับให้ห้าง 30 บาท ถ้าไม่ยอมจะส่งตัวให้เจ้าพนักงานตำรวจนั้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นการข่มขืนใจหรือขู่เข็ญผู้เสียหายให้ยอมให้เงิน 30 บาทเพราะจำเลยมีหน้าที่ดูแลกิจการของห้างชอบที่จะใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายทางอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ได้การที่จำเลยให้ผู้เสียหายเสียค่าปรับเท่ากับเสนอให้ชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อตกลงเลิกคดีกัน จำเลยไม่มีความผิดฐานกรรโชก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2526 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกได้ร่วมกันข่มขืนใจขู่เข็ญเด็กหญิงวันวิสา เกียรติณรงค์รบผู้เสียหายว่าหากผู้เสียหายไม่ยอมให้เงิน 30 บาทแก่จำเลย จำเลยกับพวกจะจับกุมผู้เสียหายส่งเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีฐานลักทรัพย์จนผู้เสียหายกลัวว่าจะถูกดำเนินคดี จึงยอมมอบเงิน30 บาทให้จำเลยกับพวกไปสำหรับเงิน 30 บาท จำเลยได้คืนให้ผู้เสียหายไปแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 337และให้จำเลยคืนเงิน 30 บาทให้ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 337 ให้จำคุก 6 เดือน โทษจำคุกให้รอไว้ 1 ปีให้จำเลยคืนเงิน 30 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าในวันเวลาเกิดเหตุ ขณะที่ผู้เสียหายกำลังจะออกไปจากห้างสรรพสินค้าองค์วิศิษฐ์ นางสาวนาฏยาได้ขอตรวจค้นผู้เสียหาย พบสติกเกอร์แผ่นเล็ก 1 แผ่น ราคา 1 บาท ซึ่งไม่ได้ชำระเงิน รวมอยู่ในถุงใส่สิ่งของที่ผู้เสียหายซื้อจากห้าง นางสาวนาฏยาจึงบอกผู้เสียหายว่า ลักเอาสติกเกอร์ดังกล่าวไปจะต้องเสียค่าปรับ 50บาท แล้วพาผู้เสียหายไปที่โต๊ะของนางสาวสุนันพนักงานเก็บเงินเพื่อให้ชำระค่าปรับ พอดีจำเลยเดินมาพบเข้าและบอกให้ปรับผู้เสียหายเพียง 30 บาท นางสาวสุนันจึงปรับ 30 บาท และออกใบเสร็จรับเงินให้ผู้เสียหายตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมานางสว่างจิตต์มารดาผู้เสียหายมาต่อว่าที่ห้าง นายเฉลิมชัยผู้จัดการห้างชี้แจงให้ฟัง แต่มารดาผู้เสียหายไม่ยอมรับฟังนายเฉลิมชัยจึงให้พนักงานเก็บเงินคืนเงินค่าปรับให้ผู้เสียหาย ซึ่งตามคำฟ้องก็รับว่าจำเลยคืนเงินให้ผู้เสียหายไปแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่ผู้เสียหาย แต่พนักงานสอบสวนเห็นว่าผู้เสียหายไม่มีเจตนาลักทรัพย์ ได้มีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องตามรายงานการสอบสวนเอกสารสารบาญที่ 29 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อนี้เด็กหญิงวันวิสา เกียรติณรงค์รบผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อนางสาวนาฏยาพาผู้เสียหายมาที่โต๊ะของนางสาวสุนันพนักงานเก็บเงิน และบอกว่าผู้เสียหายลักเอาสติกเกอร์แผ่นเล็กไปจะต้องเสียค่าปรับ 50 บาท ผู้เสียหายปฏิเสธโดยอ้างว่านางสาวนาฏยาแถมให้และได้ถามว่าสติกเกอร์นั้นราคาเท่าไรผู้เสียหายจะจ่ายเงินให้พอดีจำเลยเดินเข้ามาและพูดว่าจะปรับผู้เสียหาย 30 บาทถ้าไม่ให้จะส่งตัวผู้เสียหายให้เจ้าพนักงานตำรวจ ผู้เสียหายกลัว จึงยอมให้เงิน 30 บาท พนักงานเก็บเงินได้ออกใบเสร็จรับเงินให้ตามเอกสารหมาย จ.1 เห็นว่า กรณีตามที่โจทก์จำเลยนำสืบมีเหตุที่จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าผู้เสียหายได้ลักเอาสติกเกอร์ของห้างสรรพสินค้าองค์วิศิษฐ์ ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ช่วยดูแลกิจการอยู่ไปเพราะใบเสร็จรับเงินค่าสิ่งของที่ผู้เสียหายซื้อไม่มีรายการชำระค่าสติกเกอร์ดังกล่าว ทั้งห้างก็ไม่เคยให้ของแถมเป็นสติกเกอร์ การที่จำเลยบอกให้ผู้เสียหายเสียค่าปรับให้ห้าง 30 บาท ถ้าไม่ยอมเสียค่าปรับ จะส่งตัวผู้เสียหายให้เจ้าพนักงานตำรวจนั้น พฤติการณ์เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการข่มขืนใจหรือขู่เข็ญผู้เสียหายจนผู้เสียหายยอมให้เงิน 30 บาท เพราะจำเลยมีหน้าที่ดูแลกิจการของห้างชอบที่จะใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายทางอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ได้ การที่จำเลยให้ผู้เสียหายเสียค่าปรับตามที่ห้างได้ถือปฏิบัติเท่ากับเสนอให้ชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อตกลงเลิกคดีกัน จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกรรโชกตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share