คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2687/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อน จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ อ้างว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1861 ของจำเลยคลาดเคลื่อนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์ เนื้อที่ 100ไร่เศษ เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยทางครอบครองโจทก์ยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นฟังว่า เขตที่ดินโฉนดเลขที่ 1861 ของจำเลยทางทิศใต้อยู่ติดกับเขตที่ดินโฉนดที่ 1862 ของโจทก์ทางทิศเหนือ มีคันนาและกอไผ่เป็นคันเขต จำเลยไม่ได้ปกครองรุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ส่วนคดีหลัง โจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยเข้าไปอาศัยปลูกกระท่อมและอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่1862 ของโจทก์บางส่วนเนื้อที่ 100 ไร่เศษ โดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่ขอเช่าที่ดินไปจากโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อกระท่อมออกไปให้พ้นที่ดินโจทก์และอย่าเข้ามาทำนาต่อไป จำเลยไม่ปฏิบัติตาม ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อกระท่อม ห้ามเข้าเกี่ยวข้องทำนาต่อไป และเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ ประเด็นแห่งคดีก่อน ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะแนวเขตโฉนดที่ดินของโจทก์และจำเลยด้านที่ติดกัน ว่าอยู่ตรงไหนกับชี้ขาดว่าไม่มีการครอบครองที่ดินเป็นปรปักษ์ต่อกัน ส่วนประเด็นแห่งคดีหลังเป็นเรื่องละเมิดกับเรียกค่าเสียหาย จึงเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกัน มิใช่เรื่องในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องคดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 เนื้อที่ 200 ไร่ 4 วา จำเลยมีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางทิศเหนือ เมื่อ 6 – 7 ปีมานี้ จำเลยได้อาศัยที่ดินโจทก์ทางทิศเหนือเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่เศษ ปลูกกระท่อมและทำนาโดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่ได้เช่าที่ดินจากโจทก์ ต่อมาจำเลยคิดทุจริตจะเอาที่ดินที่จำเลยอาศัยดังกล่าวเป็นของจำเลยโดยไปยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ต่อศาล อ้างว่าได้ครอบครองมาเองคลาดเคลื่อนล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ 100 ไร่เศษ เกินกว่า 10 ปีแล้ว ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยทางครอบครอง โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของจำเลย คดีถึงที่สุดตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 180/2510 โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนกระท่อมและออกไปให้พ้นที่ดินของโจทก์ จำเลยผัดเรื่อยมาและไม่ปฏิบัติทำให้โจทก์เสียหาย เข้าทำนาไม่ได้ขาดประโยชน์เป็นข้าวเปลือกปีละ 200 ถัง หรือเป็นเงินปีละ 2,400 บาท ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยรื้อถอนกระท่อมออกไป ห้ามเกี่ยวข้องเข้าทำนาในที่ดินของโจทก์และใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1861 ของจำเลยมีเขตที่ดินทางทิศใต้อยู่ติดที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 จำเลยครอบครองมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โดยสงบและเปิดเผย ไม่เคยอาศัยสิทธิของโจทก์หรือบุคคลใดคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 180/2510 ได้วินิจฉัยว่า ที่ดินโฉนดที่ 1861 และเลขที่ 1862 ต่างมีแนวเขต ขอบเขตแสดงเป็นเขตคันต่างไม่รุกล้ำกัน ดังนั้นที่ดิน 100 ไร่เศษที่โจทก์กล่าวฟ้อง จึงไม่อยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 1862 และไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ประเด็นเรื่องเขตที่พิพาทอยู่ในที่ดินโฉนดของใคร ยุติแล้วตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 180/2510 จะนำมาฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีกันเป็นประเด็นในคดีนี้อีกไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ข้อเท็จจริงต้องฟังว่าที่พิพาทมิได้อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 180/2510 โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1861 ได้ครอบครองที่ดินทางทิศใต้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินทางทิศเหนือโฉนดเลขที่ 1862 ของจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ส่วนจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ต่อสู้ว่าโจทก์ (จำเลยในคดีนี้) มิได้ปกครองรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินโฉนดที่ 1862 ของจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) แต่อย่างไรและคงเป็นเจ้าของครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 อยู่เติมตามเนื้อที่ 200 ไร่ 4 ตารางวา โดยให้ผู้อื่นเช่าทำนาตลอดมาจนทุกวันนี้ โจทก์ (จำเลยคดีนี้) เพิ่งเข้าไปอาศัยและทำนาอยู่ในที่ดินของจำเลย(โจทก์ในคดีนี้) เมื่อ 5 – 6 ปีมานี้เอง โดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่ขอเช่าที่ดินไปจากจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) เพื่อทำนาหาใช่โจทก์ (จำเลยคดีนี้) เข้าไปครอบครองในฐานะปรปักษ์มีเจตนาเป็นเจ้าของตามที่โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ได้ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ไว้ต่อศาลไม่ ศาลจังหวัดนครนายกพิจารณาแล้วฟังว่าเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 1861 ของโจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ทางทิศใต้ซึ่งอยู่ติดกับเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 ของจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ทางทิศเหนือมีคันนาและกอไผ่เป็นคันเขต โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ไม่ได้ปกครอง (ที่ดิน) รุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดเลขที่ 1862 ของจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีดังกล่าว ศาลจังหวัดนครนายกวินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะแนวเขตโฉนดที่ดินของโจทก์และจำเลยค้านที่ติดกันว่าอยู่ตรงไหน กับชี้ขาดว่าไม่มีการครอบครองที่ดินเป็นปรปักษ์ต่อกัน โจทก์และจำเลยในคดีนี้จะรื้อร้องฟ้องกันอีกไม่ได้ก็เฉพาะเรื่องแนวเขตที่ดินด้านที่ติดต่อกัน กับเรื่องต่างคนต่างครอบครองที่ดินไม่เป็นปรปักษ์กันเท่านั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปอาศัยปลูกกระท่อมและอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์บางส่วนมีเนื้อที่ 100 ไร่เศษ โดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่ขอเช่าที่ดินไปจากโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อกระท่อมออกไปให้พ้นที่ดินโจทก์ และอย่าเข้ามาทำนาต่อไป จำเลยก็ไม่ปฏิบัติ ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อกระท่อมอย่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์และเรียกค่าเสียหาย ประเด็นแห่งคดีนี้จึงเป็นเรื่องละเมิดกับเรียกค่าเสียหาย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกับคดีแรกซึ่งเป็นเรื่องแนวเขตและการครอบครองปรปักษ์จึงมิใช่เรื่องในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรกนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฯลฯ

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองศาล ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ไปตามรูปความ

Share