แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จ. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำสัญญากับบริษัท ว.มีข้อความสำคัญว่าผู้ว่าจ้าง (จ) ตกลงให้ผู้รับจ้าง (ว) ขายหรือเลหลังที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างได้ในราคาไม่ต่ำกว่า 2,000,000 บาท หรือหากต่ำกว่าราคานี้ก็ต่อเมื่อผู้รับจ้าง (ว) ได้รับความยินยอมจากผู้ว่าจ้าง (จ) ให้ขายได้ ดังนี้ ย่อมมีความหมายว่า ถ้ามีผู้ซื้อเสนอขอซื้อในราคาที่กำหนดไว้นี้แล้ว ว. มีอำนาจเป็นตัวแทนของ จ. ทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้ขอซื้อได้เลยและสัญญานั้นมีผลผูกพันจ. และเมื่อ ว. ทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้ขอซื้อไว้ในนามของ ว. แต่เวลาจะโอนกรรมสิทธิ์ จ. ซึ่งเป็นเจ้าของต้องจัดการโอนให้ ไม่ใช่ว่า ว. จะทำการโอนขายไปเป็นผลสำเร็จได้เองดังนี้ แม้ ว. จะเป็นผู้มีอาชีพประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าขายทอดตลาดก็ไม่ทำให้สัญญาระหว่าง จ. กับ ว. เป็นเรื่องตัวแทนค้าต่าง
ว. เป็นตัวแทนของ จ. ทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมด้วยตึกแถวให้โจทก์ แล้ว จ. กลับโอนที่ดินและตึกแถวนั้นให้ผู้อื่นไป ถ้าไม่สามารถโอนที่ดินและตึกนั้นให้โจทก์ได้ จ. จะต้องคืนเงินที่ ว. รับไว้จากโจทก์และต้องเสีย ดอกเบี้ยสำหรับเงินที่คืนนั้น นอกจากนี้ยังต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกด้วย
ตัวแทนของเจ้าของทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวให้โจทก์แล้วเจ้าของกลับโอนที่ดินและตึกนั้นให้ผู้อื่นไป การที่เคยมีผู้มาขอซื้อที่ดินและตึกนั้นจากโจทก์ในราคาเป็นเงินจำนวนหนึ่งเพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษเท่ากับราคาที่มีผู้มาขอซื้อนั้น แต่ถือได้ว่าที่ดินและตึกนั้นมีราคาเพิ่มขึ้นแน่นอนซึ่งเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการไม่ชำระหนี้ของฝ่ายเจ้าของที่ดินและตึก ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ตามจำนวนที่เห็นสมควร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า หม่อมเจ้าหญิงจงกลนี วัฒนวงศ์ ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 6 เป็นตัวแทนจัดการขายที่ดินโฉนดที่ 3923 พร้อมด้วยตึกแถวเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2506 โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อที่ดินดังกล่าวส่วนหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 24 ตารางวา พร้อมด้วยตึกแถวเลขที่ 425/18 และ 425/19 จากจำเลยที่ 6 ในราคา 320,000 บาทได้วางเงินมัดจำและชำระราคาให้จำเลยที่ 6 ครบแล้ว แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนเพราะต้องรอการแบ่งแยกโฉนดเสียก่อน ครั้นเมื่อแยกโฉนดแล้วคือที่ดินพร้อมด้วยตึกเลขที่ 425/18ได้โฉนดใหม่ 5973 ที่ดินพร้อมด้วยตึกเลขที่ 425/19 ได้โฉนดใหม่ 5974 จำเลยที่ 6 ไม่จัดการโอนโฉนดให้โจทก์ตามสัญญา โดยจำเลยที่ 7 พนักงานของจำเลยที่ 6 มีหนังสือมอบอำนาจมีพระนามหม่อมเจ้าหญิงจงกลนีฯ เป็นผู้มอบให้ขายที่ดินโฉนดที่ 5973 พร้อมด้วยตึกแถวให้แก่จำเลยที่ 8 และขายที่ดินโฉนดที่ 5974 พร้อมด้วยตึกแถวให้จำเลยที่ 9 จดทะเบียนเมื่อ 16 ธันวาคม 2507 จำเลยที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 รู้ดีว่าโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายทรัพย์พิพาทไว้ก่อนแล้ว จึงเป็นการฉ้อฉลทำให้โจทก์เสียเปรียบไม่ได้ทรัพย์ตามสัญญา ทำให้โจทก์เสียหาย คือโจทก์อาจขายทรัพย์นั้นได้ไม่ต่ำกว่าคูหาละ 500,000 บาท รวมเป็น 1,000,000 บาท หักค่าซื้อแล้วคงเสียหาย 680,000 บาท หม่อมเจ้าหญิงจงกลนีฯ เป็นตัวการแต่งตั้งจำเลยที่ 6 เป็นตัวแทน ย่อมมีความผูกพันต่อโจทก์ในกิจการที่จำเลยที่ 6 กระทำไป หม่อมเจ้าหญิงจงกลนีฯ ถึงชีพิตักษัยเมื่อ 1 มิถุนายน2508 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นผู้จัดการมรดกต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่ปฏิเสธความรับผิด ส่วนจำเลยที่ 6 เฉยเสีย ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินและตึกพิพาทระหว่างจำเลยที่ 7, 8, 9 แล้วให้จำเลยที่ 1ถึงที่ 5 จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์ ถ้าไม่ปฏิบัติตาม ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าการโอนไม่สามารถบังคับได้ ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในฐานะผู้จัดการมรดกคืนเงิน 320,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยพร้อมทั้งใช้ค่าเสียหายอีก 680,000 บาท
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้การว่า ม.จ.หญิงจงกลนีฯ ไม่เคยทำสัญญากับโจทก์ ถ้ามีก็เป็นสัญญาระหว่างจำเลยที่ 6 กับโจทก์ จำเลยที่ 6 มิได้เป็นตัวแทนของ ม.จ.หญิงจงกลนีฯ ถ้าฟังว่าเป็นตัวแทนก็เป็นตัวแทนค้าต่างจำเลยที่ 6 ดำเนินการขายที่ดินไปโดยเอกเทศโดยผู้ว่าจ้างจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้ ม.จ.หญิงจงกลนีฯ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 6 ที่ 7 ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 837 ฯลฯ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไกลกว่าเหตุและไม่แน่นอน ราคาที่ดินและตึกพิพาทไม่เกินคูหาละ 170,000 บาท
จำเลยที่ 6 ให้การว่า เป็นตัวแทนของ ม.จ.หญิงจงกลนีฯ ขายที่ดินและตึกให้โจทก์ ได้รับเงินราคาซื้อขายครบถ้วนจริง แต่จำเลยที่ 6 ไม่ต้องรับผิด เพราะ ม.จ.หญิงจงกลนีฯ มิได้เอาหนังสือมอบอำนาจและโฉนดมาให้จำเลยที่ 6 จัดการโอนขายให้โจทก์และจำเลยที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ใช้กลอุบายไปรับใบมอบอำนาจแล้วไปโอนขายให้จำเลยที่ 8 ที่ 9 ซึ่งจำเลยที่ 6 ไม่รู้เห็นด้วย
จำเลยที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 7 เป็นเพียงพนักงานในสำนักงานของจำเลยที่ 6 จำเลยที่ 6 ให้จำเลยที่ 7 ไปโอนขายให้จำเลยที่ 8 ที่ 9
จำเลยที่ 8 ที่ 9 ให้การว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้เช่าตึกแถวพิพาทอยู่เดิมไม่ได้ฉ้อฉลโจทก์ จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 6 ไปบอกว่าได้ตกลงจะขายที่ดินและตึกแถวที่พิพาทให้โจทก์ไปแล้ว แต่ด้วยความเห็นใจและเพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของเจ้าของที่ดินที่จะเจรจาเลิกสัญญากับโจทก์แล้วนำมาขายให้จำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าที่ดินและตึกแถวกับค่าชดเชยและค่าใช้จ่ายคนละ 160,000 บาท จำเลยทั้งสองก็จ่ายให้จำเลยที่ 6 ไป ต่อมาจำเลยที่ 6 แจ้งว่าได้เจรจากับโจทก์เรียบร้อย ให้จำเลยทั้งสองไปรับโอน เจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 7ลงชื่อแทนและจดทะเบียน จำเลยทั้งสองเป็นผู้ซื้อโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต ย่อมได้กรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินและตึกพิพาทระหว่าง ม.จ.หญิงจงกลนีฯ กับจำเลยที่ 8 ที่ 9 เสียให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนขายที่ดินและตึกพิพาทให้โจทก์ ถ้าไม่จัดการ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา หากไม่สามารถกระทำได้ ก็ให้คืนเงิน 320,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2508 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ปฏิเสธความรับผิดเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกนี้ให้ยก
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หากไม่สามารถเพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่าง ม.จ.หญิงจงกลนีฯ กับจำเลยที่ 8 ที่ 9 และจำเลยที่ 1ถึงที่ 5 ในฐานะผู้จัดการมรดกไม่อาจโอนให้โจทก์ ก็ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในฐานะผู้จัดการมรดกคืนเงิน 320,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 28 กันยายน 2508 แก่โจทก์ และให้ชำระค่าเสียหาย 40,000 บาทแก่โจทก์ด้วย นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 8 ที่ 9 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในประเด็นที่ว่าสัญญาระหว่างม.จ.หญิงจงกลนีฯ กับจำเลยที่ 6 นั้น เป็นสัญญาตัวแทนหรือสัญญาจ้างทำของ นั้น เห็นว่าสัญญาฉบับลงวันที่ 6 กันยายน 2506 ที่ ม.จ.หญิงจงกลนีฯ ทำไว้กับจำเลยที่ 6 นั้น มีข้อความสำคัญว่า “ผู้ว่าจ้างตกลงให้ผู้รับจ้างขายหรือเลหลังที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดนี้ได้ในราคาไม่ต่ำกว่า 2,000,000บาท หรือหากต่ำกว่าราคานี้ก็ต่อเมื่อผู้รับจ้างได้รับความยินยอมจากผู้ว่าจ้างให้ขายได้” จึงมีความหมายว่า ถ้ามีผู้ซื้อเสนอขอซื้อในราคาที่กำหนดไว้นี้แล้ว จำเลยที่ 6 ย่อมมีอำนาจทำสัญญาจะซื้อขายไว้กับผู้ซื้อได้เลย ทรัพย์สินที่ให้ขายนี้มีที่ดินพร้อมด้วยตึกแถว 2 คูหาให้โจทก์ในราคา 320,000 บาท จำเลยที่ 6 จึงตกลงขายได้เลยจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 6 เป็นตัวแทนของม.จ.หญิงจงกลนีฯ มีอำนาจทำสัญญาจะซื้อขายกับโจทก์ได้ และสัญญาที่ทำขึ้นจึงผูกพัน ม.จ.หญิงจงกลนีฯ ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกาว่า แม้จะฟังว่าเป็นเรื่องตัวแทน ก็เป็นตัวแทนค้าต่างตามมาตรา 833 โดยจำเลยที่ 6 เป็นผู้มีอาชีพประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 6 ทำสัญญากับโจทก์ขายที่ดินและตึกพิพาทในนามของจำเลยที่ 6 ก็จริง แต่เวลาจะโอนกรรมสิทธิ์เจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องไปจัดการโอนให้ ไม่ใช่จำเลยที่ 6 ทำการขายเป็นผลสำเร็จโดยเจ้าของไม่ต้องทำอะไรอีก จึงไม่ทำให้สัญญาระหว่างม.จ.หญิงจงกลนีฯ กับจำเลยที่ 6 เป็นเรื่องตัวแทนค้าต่าง เมื่อจำเลยที่ 6 ผิดสัญญาตัวการคือ ม.จ.หญิงจงกลนีฯ โดยจำเลยที่ 1 ถึง 5 ผู้จัดการมรดกต้องถูกผูกพันและรับผิดต่อโจทก์ ในประเด็นเรื่องค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ที่ 5 ฎีกาว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ถ้าจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินและตึกให้โจทก์ได้ นอกจากจะต้องคืนเงินที่รับไว้พร้อมด้วยดอกเบี้ยแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้40,000 บาท โดยไม่ปรากฏว่าคำนวณจากอะไร เมื่อโจทก์สืบไม่สมว่าค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินเท่าใด ก็ไม่ควรได้เลย และโจทก์จะได้รับดอกเบี้ยอยู่แล้ว ฝ่ายโจทก์ก็ฎีกาว่าโจทก์ควรได้ค่าเสียหาย 680,000 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 และเจ้าหนี้จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ หากว่าคู่กรณีได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นว่านั้นล่วงหน้าก่อนแล้วตามมาตรา 222 วรรค 2 แต่คดีนี้โจทก์นำสืบว่านางกุ้ยคิ้มและนายมุ่ยเอี๋ยวเคยไปขอซื้อที่ดินและตึกพิพาทจากโจทก์ ในราคา 1,000,000 บาท และ 900,000 บาท เพียงเท่านี้ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ แต่ฟังได้ว่าที่ดินและตึกพิพาทมีราคาเพิ่มขึ้นแน่นอน ซึ่งเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการไม่ชำระหนี้ของจำเลย ศาลมีอำนาจกำหนดให้ได้ตามที่เห็นสมควร ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้ 40,000 บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นพอสมควรแล้วส่วนดอกเบี้ยนั้น เมื่อจำเลยต้องคืนเงินค่าซื้อขายให้โจทก์ ก็ต้องบวกดอกเบี้ยสำหรับจำนวนเงินที่คืนเข้าด้วย ตามมาตรา 391
พิพากษายืน