แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อน จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ อ้างว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1861 ของจำเลยคลาดเคลื่อนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์ เนื้อที่ 100ไร่เศษเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยทางครอบครองโจทก์ยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นฟังว่า เขตที่ดินโฉนดเลขที่ 1861 ของจำเลยทางทิศใต้อยู่ติดกับเขตที่ดินโฉนดที่ 1862 ของโจทก์ทางทิศเหนือ มีคันนาและกอไผ่เป็นคันเขตจำเลยไม่ได้ปกครองรุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดเลขที่ 1862 ของโจทก์พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด ส่วนคดีหลัง โจทก์ฟ้องจำเลยว่าจำเลยเข้าไปอาศัยปลูกกระท่อมและอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่1862ของโจทก์บางส่วนเนื้อที่ 100 ไร่เศษ โดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่ขอเช่าที่ดินไปจากโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อกระท่อมออกไปให้พ้นที่ดินโจทก์และอย่าเข้ามาทำนาต่อไปจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อกระท่อมห้ามเข้าเกี่ยวข้องทำนาต่อไป และเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ประเด็นแห่งคดีก่อน ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะแนวเขตโฉนดที่ดินของโจทก์และจำเลยด้านที่ติดกัน ว่าอยู่ตรงไหนกับชี้ขาดว่าไม่มีการครอบครองที่ดินเป็นปรปักษ์ต่อกัน ส่วนประเด็นแห่งคดีหลังเป็นเรื่องละเมิดกับเรียกค่าเสียหาย จึงเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกัน มิใช่เรื่องในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องคดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๖๒ เนื้อที่ ๒๐๐ ไร่ ๔ วา จำเลยมีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางทิศเหนือ เมื่อ ๖ – ๗ ปีมานี้ จำเลยได้อาศัยที่ดินโจทก์ทางทิศเหนือเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่เศษ ปลูกกระท่อมและทำนาโดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่ได้เช่าที่ดินจากโจทก์ ต่อมาจำเลยคิดทุจริตจะเอาที่ดินที่จำเลยอาศัยดังกล่าวเป็นของจำเลยโดยไปยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ต่อศาล อ้างว่าได้ครอบครองมาเองคลาดเคลื่อนล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ ๑๐๐ ไร่เศษ เกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยทางครอบครอง โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องของจำเลย คดีถึงที่สุดตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๐/๒๕๑๐โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนกระท่อมและออกไปให้พ้นที่ดินของโจทก์จำเลยผัดเรื่อยมาและไม่ปฏิบัติทำให้โจทก์เสียหาย เข้าทำนาไม่ได้ขาดประโยชน์เป็นข้าวเปลือกปีละ ๒๐๐ ถัง หรือเป็นเงินปีละ ๒,๔๐๐ บาท ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยรื้อถอนกระท่อมออกไป ห้ามเกี่ยวข้องเข้าทำนาในที่ดินของโจทก์และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๖๑ ของจำเลยมีเขตที่ดินทางทิศใต้อยู่ติดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๖๒ จำเลยครอบครองมาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้วโดยสงบและเปิดเผย ไม่เคยอาศัยสิทธิของโจทก์หรือบุคคลใด คำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๑๘๐/๒๕๑๐ ได้วินิจฉัยว่า ที่ดินโฉนดที่ ๑๘๖๑ และเลขที่ ๑๘๖๒ต่างมีแนวเขต ขอบเขตแสดงเป็นเขตคันต่างไม่รุกล้ำกัน ดังนั้นที่ดิน ๑๐๐ ไร่เศษที่โจทก์กล่าวฟ้อง จึงไม่อยู่ในเขตโฉนดเลขที่ ๑๘๖๒ และไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ประเด็นเรื่องเขตที่พิพาทอยู่ในที่ดินโฉนดของใครยุติแล้วตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๑๘๐/๒๕๑๐ จะนำมาฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีกันเป็นประเด็นในคดีนี้อีกไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ข้อเท็จจริงต้องฟังว่าที่พิพาทมิได้อยู่ในเขตโฉนดของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๘๐/๒๕๑๐ โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๖๑ ได้ครอบครองที่ดินทางทิศใต้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินทางทิศเหนือโฉนดเลขที่ ๑๘๖๒ ของจำเลย (โจทก์ในคดีนี้)มีเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ส่วนจำเลย (โจทก์ในคดีนี้)ต่อสู้ว่าโจทก์ (จำเลยในคดีนี้) มิได้ปกครองรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินโฉนดที่ ๑๘๖๒ของจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) แต่อย่างไรและคงเป็นเจ้าของครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๖๒ อยู่เติมตามเนื้อที่ ๒๐๐ ไร่ ๔ ตารางวา โดยให้ผู้อื่นเช่าทำนาตลอดมาจนทุกวันนี้ โจทก์ (จำเลยคดีนี้) เพิ่งเข้าไปอาศัยและทำนาอยู่ในที่ดินของจำเลย(โจทก์ในคดีนี้) เมื่อ ๕ – ๖ ปีมานี้เอง โดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่ขอเช่าที่ดินไปจากจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) เพื่อทำนาหาใช่โจทก์ (จำเลยคดีนี้) เข้าไปครอบครองในฐานะปรปักษ์มีเจตนาเป็นเจ้าของตามที่โจทก์ (จำเลยในคดีนี้)ได้ยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ไว้ต่อศาลไม่ ศาลจังหวัดนครนายกพิจารณาแล้วฟังว่า เขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๖๑ ของโจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ทางทิศใต้ซึ่งอยู่ติดกับเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๖๒ ของจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ทางทิศเหนือมีคันนาและกอไผ่เป็นคันเขต โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) ไม่ได้ปกครอง (ที่ดิน)รุกล้ำเข้าไปในเขตโฉนดเลขที่ ๑๘๖๒ ของจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าคดีดังกล่าว ศาลจังหวัดนครนายกวินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะแนวเขตโฉนดที่ดินของโจทก์และจำเลยค้านที่ติดกันว่าอยู่ตรงไหน กับชี้ขาดว่าไม่มีการครอบครองที่ดินเป็นปรปักษ์ต่อกัน โจทก์และจำเลยในคดีนี้จะรื้อร้องฟ้องกันอีกไม่ได้ก็เฉพาะเรื่องแนวเขตที่ดินด้านที่ติดต่อกัน กับเรื่องต่างคนต่างครอบครองที่ดินไม่เป็นปรปักษ์กันเท่านั้น ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเข้าไปอาศัยปลูกกระท่อมและอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๖๒ ของโจทก์บางส่วนมีเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่เศษ โดยอาศัยสิทธิการเช่าของบุคคลอื่นที่ขอเช่าที่ดินไปจากโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อกระท่อมออกไปให้พ้นที่ดินโจทก์ และอย่าเข้ามาทำนาต่อไป จำเลยก็ไม่ปฏิบัติขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อกระท่อมอย่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์และเรียกค่าเสียหาย ประเด็นแห่งคดีนี้จึงเป็นเรื่องละเมิดกับเรียกค่าเสียหายเห็นได้ชัดว่าเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกับคดีแรกซึ่งเป็นเรื่องแนวเขตและการครอบครองปรปักษ์จึงมิใช่เรื่องในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรกนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฯลฯ
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองศาล ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาใหม่ไปตามรูปความ