แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาพร้อมคำฟ้องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา แต่อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง ไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่ควรจะฟัง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จำเลยจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรงจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรงโดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์มีโอกาสคัดค้านก่อน เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง การที่ศาลฎีกาจะส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยตามมาตรา 223 ทวิ วรรคท้ายจึงไม่เป็นประโยชน์ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับอุทธรณ์ของจำเลยและที่อนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา และให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของจำเลยใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน9,577.58 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน8,240 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มิถุนายน2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาพร้อมคำฟ้องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะมิได้ถือเอาข้อตกลงในสัญญาเรื่องการชำระหนี้เป็นข้อสำคัญในการเลิกสัญญาก็ตาม แต่ภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 5 เป็นต้นมา โจทก์ไปยึดรถจักรยานยนต์คันที่เช่าซื้อคืนมาจำเลยที่ 1 ก็มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อให้โจทก์ส่งมอบรถจักรยานยนต์คืนและใช้สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อต่อไป แต่กลับเพิกเฉยจนกระทั่งโจทก์ขายรถจักรยานยนต์คันที่เช่าซื้อให้บุคคลภายนอกไป แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย ดังนั้นสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นอันเลิกกัน จำเลยทั้งสามอุทธรณ์สรุปได้ความว่า พฤติการณ์ตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลยทั้งสามประกอบเอกสารต่าง ๆ ทั้งที่โจทก์และจำเลยทั้งสามอ้างตามที่กล่าวไว้ในอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามแล้วแสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังคงปฏิบัติต่อกันเสมือนหนึ่งว่าสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.3 ยังใช้บังคับอยู่และไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 สมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงยังไม่เลิกกัน เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่ควรจะฟัง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรงจึงไม่ถูกต้องศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม นอกจากนี้ที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรงโดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ดังกล่าวแก่โจทก์เพื่อให้โจทก์มีโอกาสคัดค้านก่อนก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง ตามมาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง ด้วย และเนื่องด้วยคดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลฎีกาจะส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยตามมาตรา 223 ทวิ วรรคท้าย จึงหาเป็นประโยชน์ไม่
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามและที่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา และให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามใหม่