แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
อุทธรณ์ของจำเลยบรรยายถึงการขอเลื่อนคดีของจำเลยในชั้นไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ทุกครั้งว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและงดการไต่สวนคำร้องเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบต่อไปรวมอยู่ด้วย แม้ตอนท้ายสุดของอุทธรณ์จะขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของจำเลยใหม่ตามที่ร้องขอ อุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นการอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดการไต่สวนคำร้องอยู่ในตัว ไม่ใช่อุทธรณ์คำสั่งยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่แต่เพียงสถานเดียว คำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดการไต่สวนคำร้องดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยอุทธรณ์ได้พร้อมคำสั่งยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ซึ่งเป็นคำสั่งวินิจฉัยภายในกำหนด 1 เดือน แต่จำเลยต้องโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (2) จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งไว้จึงต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์และการพิจารณาคำสั่งยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งต้องอาศัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจากคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าวเป็นพื้นฐานจึงจะพิจารณาได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่จะให้พิจารณาคดีใหม่
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา แต่เป็นคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่ง จำเลยชอบที่จะอุทธรณ์ได้ตามมาตรา 223
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้กู้ยืมและจำนองเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงินจำนวนแน่นอน เมื่อจำเลยทราบนัดแล้วไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน จำเลยจึงขาดนัดพิจารณาซึ่ง ป.วิ.พ. มาตรา 206 วรรคสอง ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 198 ทวิ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยานได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,985,375.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,265,480.50 บาท นัดถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน จำเลยขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,985,375.47 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 2,265,480.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 248087 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ผู้รับมอบฉันทะที่จำเลยมอบให้ไปยื่นคำร้องขอถอนทนายความและขอเลื่อนคดีแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบผิดพลาด จำเลยจึงไม่ได้ไปศาลในวันนัดสืบพยาน หากศาลอนุญาตให้พิจารณาคดี จำเลยมีโอกาสที่จะชนะคดีโจทก์ได้ เพราะจำเลยไม่เคยได้รับเงินตามสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง ก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวบังคับจำนองไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้มีคำสั่งพิจารณาคดีใหม่
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้รับมอบฉันทะจากจำเลยลงลายมือชื่อรับทราบรายงานกระบวนพิจารณาของศาลในวันที่ 26 ธันวาคม 2543 และทนายความจำเลยคนใหม่สามารถตรวจสอบวันนัดได้แต่กลับละเลยเพิกเฉย จำเลยไม่ได้กล่าวโต้แย้งว่าคำตัดสินของศาลไม่ชอบอย่างไร จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 จัตวา ขอให้ยกคำร้อง
ในวันนัดไต่สวนซึ่งตรงกับวันที่ 3 ธันวาคม 2544 ทนายความจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่า จำเลยมีธุระสำคัญต้องเดินทางไปต่างจังหวัดและทนายความจำเลยป่วยไม่สามารถมาศาลได้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยขอเลื่อนคดีเป็นครั้งที่สามแล้วเป็นการประวิงคดีให้ชักช้า จึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีให้งดการไต่สวน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2544 ว่าจำเลยไม่สามารถนำพยานมานำให้เห็นได้ว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณาจึงไม่มีเหตุที่จะให้พิจารณาคดีใหม่ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
หลังจากสั่งรับอุทธรณ์แล้ว บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด ยื่นคำร้องขอสวมสิทธิเข้าเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2544 ซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า อุทธรณ์จำเลยฉบับลงวันที่ 24 มกราคม 2545 เป็นอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดการไต่สวนพยานจำเลยด้วยหรือไม่ เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวบรรยายถึงการขอเลื่อนคดีของจำเลยในชั้นไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ทุกครั้งมีเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและงดการไต่สวนคำร้องเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบต่อไปรวมอยู่ด้วย แม้ตอนท้ายสุดของอุทธรณ์จะขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 กลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของจำเลยใหม่ตามที่ร้องขออุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดการไต่สวนคำร้องอยู่ในตัว ไม่ใช่อุทธรณ์คำสั่งยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่แต่เพียงสถานเดียวดังที่จำเลยฎีกา คำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดการไต่สวนคำร้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยอุทธรณ์ได้พร้อมคำสั่งยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งเป็นคำสั่งวินิจฉัยคดีภายในกำหนด 1 เดือน แต่จำเลยต้องโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งไว้จึงต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ สำหรับการพิจารณาคำสั่งยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2544 นั้นต้องอาศัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายจากคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าวเป็นพื้นฐานจึงจะพิจารณาได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่จะให้พิจารณาคดีใหม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกอุทธรณ์จำเลยที่ขอให้พิจารณาใหม่นั้นไม่ชอบเพราะจำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 เนื่องจากคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยมิใช่คำสั่งระหว่างพิจารณา แต่เป็นคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 วรรคหนึ่ง
ฎีกาจำเลยประการที่สองมีว่า การพิจารณาคดีโจทก์ฝ่ายเดียวของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 ไม่มีการสืบพยานบุคคล พิจารณาแต่เพียงเอกสารที่โจทก์ส่งเป็นพยานเท่านั้น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้กู้ยืมและจำนองเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงินจำนวนแน่นอน เมื่อจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลในวันนัดสืบพยาน จำเลยขาดนัดพิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 206 วรรคสอง ให้นำบทบัญญัติในมาตรา 198 ทวิ วรรคสองและวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่เห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยานได้ ซึ่งบทบัญญัตินี้เป็นกระบวนพิจารณาโดยขาดนัดตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2543 ซึ่งใช้บังคับเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 25 สิงหาคม 2543 กระบวนพิจารณาโดยขาดนัดจึงอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยานบุคคลจึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ยกอุทธรณ์จำเลยที่ขอให้พิจารณาใหม่ ให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ