คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2686/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพร้อมตึกแถว จำเลยเข้ามาอยู่อาศัยในตึกแถวโดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์กับผู้มีชื่อได้ร่วมกันข่มขู่ให้จำเลยออกจากที่ดินและให้นำเงินไปชำระแก่โจทก์ โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลในคดีที่โจทก์กับ ป. ถูก ส. ยื่นฟ้องเป็นจำเลยและศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้โจทก์โอนหุ้นรวมทั้งห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ จ. การกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดและรอนสิทธิการเช่าของจำเลย ทำให้จำเลยไม่สามารถครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินรวมทั้งต้องว่าจ้างทนายความมาดำเนินการแก้ต่าง ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์กระทำละเมิดอันเป็นเรื่องอื่นซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมไม่อาจรวมพิจารณาชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบมาตรา 179 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1532 และ 1531 พร้อมตึกแถวเลขที่ 2 จำเลยทั้งสามเข้ามาอยู่ในตึกแถวดังกล่าวโดยโจทก์ไม่ได้อนุญาตและไม่มีสิทธิใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จำเลยทั้งสามจะอยู่ได้เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ไม่น้อยกว่าเดือนละ 80,000 บาท นับแต่วันที่ 13 สิงหาคม 2545 ถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2545 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามออกไปจากที่ดินและตึกแถวของโจทก์คิดเป็นเงิน 346,667 บาท และนับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2545 ถึงวันฟ้อง คิดเป็นเงิน 56,000 บาท กับค่าละเมิดสิทธิของโจทก์ที่ไม่ได้ครอบครองทรัพย์สินของโจทก์ไม่น้อยกว่า 10,000,000 บาท แต่โจทก์ขอคิดเพียง 300,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 702,667 บาท ขอให้บังคับขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากตึกแถวพิพาทและส่งมอบคืนโจทก์ในสภาพสมบูรณ์ ให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน 702,667 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้ใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกแถวพิพาท จำเลยทั้งสามได้เช่าตึกแถวพิพาทโดยชอบจากผู้มีชื่อ จำเลยทั้งสามไม่เคยผิดสัญญา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามดังกล่าว เป็นการรบกวนและรอนสิทธิการเช่าของจำเลยทั้งสาม ทำให้จำเลยทั้งสามได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าได้ตามปกติ นับแต่ประมาณเดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นมา โจทก์กับผู้มีชื่อร่วมกันกระทำละเมิดต่อจำเลยทั้งสามโดยสั่งให้นักเลงมาข่มขู่ให้จำเลยทั้งสามออกไปจากตึกแถวพิพาท เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2545 และวันที่ 17 ธันวาคม 2545 โจทก์และทนายโจทก์มีหนังสือให้จำเลยทั้งสามออกไปจากตึกแถวพิพาทกับให้นำเงินจำนวนกว่า 10,000,000 บาท ไปชำระ โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยฝ่าฝืนต่อคำสั่งห้ามชั่วคราวในคดีที่โจทก์กับนายประเสริฐถูกฟ้อง ที่ห้ามมิให้โจทก์ทำนิติกรรมหรือจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์มรดกของนางเจือจันทร์ โจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสามถูกรบกวนสิทธิและต้องว่าจ้างทนายความดำนินคดีจำนวน 300,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสาม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลยทั้งสาม ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามนั้นเป็นฟ้องแย้งมีเงื่อนไข ไม่รับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลให้จำเลยทั้งสามทั้งหมด
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสาม ศาลชั้นต้นอนุญาตและมีหนังสือแจ้งมาให้ศาลฎีกาทราบ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ศาลชั้นต้นจะมีหนังสือแจ้งต่อศาลฎีกาว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยทั้งสามและจำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความแล้วเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2548 ก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้ปัญหาตามฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามตกไปด้วย ปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1532 และเลขที่ 1531 พร้อมอาคารตึกแถวเลขที่ 2 จำเลยทั้งสามได้เข้ามาอยู่อาศัยในอาคารตึกแถวดังกล่าวโดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต ทั้งไม่มีสิทธิใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาท จำเลยทั้งสามได้เช่าที่ดินและตึกแถวพิพาทจากตัวแทนของผู้มีอำนาจเอาทรัพย์สินออกให้เช่า ซึ่งหากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำให้การของจำเลยทั้งสาม ศาลก็ชอบที่จะมีคำพิพากษายกฟ้องของโจทก์เสียได้ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามที่ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า โจทก์กับผู้มีชื่อได้ร่วมกันกระทำละเมิดข่มขู่ให้จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินพิพาทและให้นำเงินไปชำระแก่โจทก์ก็ดี โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลในคดีที่โจทก์กับนายประเสริฐถูกนายสุขเกษม สุพรรณนานนท์ ยื่นฟ้องเป็นจำเลยและศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้โจทก์โอนหุ้นรวมทั้งห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนางเจือจันทร์ก็ดี การกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการละเมิดและรอนสิทธิการเช่าของจำเลยทั้งสาม ทำให้จำเลยทั้งสามเดือดร้อนไม่สามารถครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาทรวมทั้งต้องว่าจ้างทนายความมาดำเนินการแก้ต่างนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสามกล่าวหาว่าโจทก์กระทำละเมิดอันเป็นเรื่องอื่นซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องเดิมไม่อาจรวมพิจารณาชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบมาตรา 179 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share