คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2685/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 เป็นเรื่องที่บริษัทยังไม่เลิกและกรรมการทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัท ถ้าบริษัทไม่ยอมฟ้องร้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดจะเอาคดีนั้นขึ้นว่าก็ได้ เมื่อบริษัทโจทก์เลิกโดยคำพิพากษาแล้วไม่มีกฎหมายให้อำนาจผู้ถือหุ้นฟ้องคดีแทนบริษัทได้ ซ. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทโจทก์จึงฟ้องคดีแทนโจทก์ไม่ได้แม้ผู้ชำระบัญชีที่ศาลแต่งตั้งใหม่แทนคนเดิมที่ถูกเพิกถอนจะเพิ่งนำบอกให้จดทะเบียนการเลิกบริษัทโจทก์และประกาศในราชกิจจานุเบกษาหลังจากโจทก์ฟ้องคดีแล้ว ก็เป็นเรื่องผู้ชำระบัญชีคนเดิมปฏิบัติหน้าที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายไม่เป็นเหตุให้บริษัทโจทก์กลับฟื้นขึ้นมาใหม่และไม่เป็นเหตุให้ผู้ชำระบัญชีที่ยังไม่ถูกถอดถอนหมดอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์และแม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในฐานะผู้ชำระบัญชียื่นคำร้องหลังจากที่ ซ. ฟ้องคดีแล้วขอเข้าว่าคดีแทนบริษัทโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้น ก็หาทำให้ฟ้องที่ไม่ชอบกลับเป็นฟ้องที่ชอบขึ้นมาในภายหลังไม่
โจทก์ฎีกาเรื่องอำนาจฟ้อง มิได้ฎีกาขอให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี เป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเมื่อโจทก์เสียไว้เกินต้องคืนให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน โจทก์ประกอบกิจการทำฟาร์มเลี้ยงกุ้ง ปลา หอยทุกชนิดเพื่อจำหน่าย และถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์เพื่อทำกิจการดังกล่าว โจทก์จดทะเบียนเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2511 มีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 7,500 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนนายเซาด์ แซ่ลี้เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 7,300 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 48.66 ของทุนจดทะเบียน นายเซาด์ ใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1169 ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ โดยมอบอำนาจให้นายต้าฟู เวิง เป็นผู้ดำเนินคดีแทน จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดกของนายทองใบ ใฉ่เจียวหรือไฉ่เจียว ตามคำสั่งศาล นายเซาด์ได้ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2528 ขอให้พิพากษาให้เลิกบริษัทและตั้งนายเซาด์เป็นผู้ชำระบัญชี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เลิกบริษัทและตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระบัญชีตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 กับนางทองใบลูกจ้างโจทก์สมคบกันโดยทุจริตทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้งหมดของโจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้จะขายนายทองใบเป็นผู้จะซื้อในราคา 7,000,000 บาท เพื่อยักย้ายจำหน่ายที่ดินทั้งหมดของโจทก์ไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และนายทองใบ ต่อมานายทองใบได้ยื่นฟ้องโจทก์เพื่อบังคับให้โจทก์โอนขายที่ดินแก่นายทองใบ จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอยขายที่ดินให้แก่นายทองใบและได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิและสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์เป็นของนายทองใบ การจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินของโจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นของโจทก์เป็นการกระทำนอกวัตถุประสงค์ของโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นโมฆะไม่ผูกพันโจทก์ ต่อมานายทองใบถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 และที่3ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนรับโอนที่ดินดังกล่าว ขอศาลพิพากษาให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินจำนวน 23 แปลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับนายทองใบ ใฉ่เจียวหรือไฉ่เจียว และเพิกถอนการจดทะเบียนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้จัดการมรดกจากหนังสือสำคัญโฉนดที่ดิน ตราจอง และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทุกฉบับและให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 โอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวกลับมาเป็นของโจทก์ หากไม่สามารถปฏิบัติได้ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายตามราคาที่ดินเป็นเงิน 517,912,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 197,454,140 บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้แก่โจทก์เป็นเงิน 715,366,640 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 517,912,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การทำนองเดียวกันว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เลิกบริษัท และศาลได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี เป็นผู้ชำระบัญชีของโจทก์ ดังนั้น การที่นายเซาด์ แซ่ลี้ จะอ้างการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1169 ฟ้องคดีแทนโจทก์จึงมิอาจกระทำได้ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นหนึ่งปี นับแต่เวลาที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 239/2538 ของศาลจังหวัดฉะเชิงเทราจำเลยที่ 1 มิได้ทำนิติกรรมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโดยฉ้อฉลกับนายทองใบ จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโดยสุจริต มิได้กระทำโดยทุจริตตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า มีคำพิพากษาให้เลิกบริษัทโจทก์แล้วก่อนฟ้องคดีนี้ และศาลแต่งตั้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดีเป็นผู้ชำระบัญชีโจทก์ นายเซาด์ แซ่ลี้ ในฐานะผู้ถือหุ้นของโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและได้มีคำพิพากษาของศาลให้เลิกบริษัทและแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีโดยชอบไปแล้วก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อบริษัทโจทก์เลิกแล้วผู้มีอำนาจจัดการกิจการของโจทก์ได้แก่ผู้ชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1259โดยไม่มีบทกฎหมายให้อำนาจผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดมีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ซึ่งเลิกบริษัทแล้วได้ ตามฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของโจทก์โดยไม่ชอบ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเมื่อบริษัทโจทก์เลิกแล้วผู้ชำระบัญชีของโจทก์เท่านั้นที่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามแทนโจทก์ได้ การที่นายเซาด์ แซ่ลี้ ในฐานะผู้ถือหุ้นของโจทก์โดยลำพังจะอ้างว่าใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 ฟ้องคดีแทนโจทก์นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169เป็นเรื่องที่บริษัทยังมิได้เลิก และกรรมการทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัท ถ้าบริษัทไม่ยอมฟ้องร้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการ ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดจะเอาคดีนั้นขึ้นว่าก็ได้ ดังนั้น เมื่อบริษัทโจทก์เลิกโดยคำพิพากษาไปแล้ว และไม่มีบทกฎหมายให้อำนาจผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดฟ้องคดีแทนบริษัทได้ นายเซาด์ในฐานะผู้ถือหุ้นของโจทก์จึงฟ้องคดีแทนโจทก์ไม่ได้ แม้ผู้ชำระบัญชีที่ศาลแต่งตั้งใหม่แทนคนเดิมที่ถูกเพิกถอนจะเพิ่งนำบอกให้จดทะเบียนและประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว ก็เป็นเรื่องที่ผู้ชำระบัญชีคนเดิมปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติกฎหมาย การที่ผู้ชำระบัญชีคนเดิมไม่นำบอกให้จดทะเบียนการเลิกบริษัทโจทก์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่เป็นเหตุให้บริษัทโจทก์กลับฟื้นขึ้นมาใหม่และไม่เป็นเหตุให้ผู้ชำระบัญชีที่ยังไม่ถูกถอดถอนหมดอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ แม้จะฟังได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี นำบอกให้จดทะเบียนการเลิกบริษัทโจทก์และจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้ชำระบัญชีใหม่และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายหลังจากที่นายเซาด์ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์แล้วก็ตาม นายเซาด์ก็หามีอำนาจฟ้องคดีนี้ในนามของโจทก์ได้ไม่ และการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในฐานะผู้ชำระบัญชีได้ยื่นคำร้องหลังจากที่นายเซาด์ฟ้องคดีนี้ ขอเข้าว่าคดีแทนบริษัทโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตนั้น เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ชอบมาแต่แรก แม้ต่อมาจะมีการยื่นคำร้องดังกล่าว ก็หาทำให้ฟ้องที่ไม่ชอบกลับเป็นฟ้องที่ชอบขึ้นมาในภายหลังได้ไม่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฎีกาเพียงเรื่องอำนาจฟ้อง มิได้ฎีกาขอให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งค่าขึ้นศาลที่โจทก์เสียไว้เกินมาในชั้นอุทธรณ์และฎีกาต้องคืนให้แก่โจทก์

พิพากษายืน

Share