คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2683/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลรัษฎากร มาตรา 30(1)(ข) บัญญัติว่า ในการอุทธรณ์การประเมินภาษีอากร ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทนสรรพากรเขตหรือผู้แทน และอัยการจังหวัดหรือผู้แทน และประมวลรัษฎากรมาตรา 30(2) บัญญัติให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลได้อีก เมื่อจำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยต่อศาล หรือฟ้องสรรพากรจังหวัดซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมิน หรือฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลยได้อีกด้วย แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องสรรพากรจังหวัดหรือกรมสรรพากรเป็นจำเลยด้วย ศาลก็พิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้หาขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินจังหวัดนนทบุรีได้ประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์รวมเป็นเงิน 849,891.50 บาท โจทก์ไม่มีเงินรายรับ ไม่ต้องเสียภาษีการค้า โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยไม่วินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ ให้ยกอุทธรณ์ คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ถูกต้อง และไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ได้ประเมิน

จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ได้แสดงรายรับและเสียภาษีการค้าไม่ถูกต้อง มีรายรับซึ่งต้องเสียภาษีการค้า เงินเพิ่ม เบี้ยปรับรายได้จังหวัดที่ยังขาดอยู่ เจ้าพนักงานประเมินจังหวัดนนทบุรีได้หมายเรียกนางจินดา อินทระ กรรมการผู้จัดการของโจทก์มาไต่สวนนางจินดาไม่มาตามนัดได้มอบอำนาจให้ผู้อื่นมาแทนภายหลัง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์การประเมินและหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์

โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันหลายประการ

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย วินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องสรรพากรจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมิน และไม่ได้ฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลยด้วย แม้ศาลจะพิพากษาว่าจำเลยได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่อาจพิพากษาตามคำขอของโจทก์ได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ไม่ต้องฟ้องสรรพากรจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมิน หรือฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลยด้วย พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 3(1) (ข) บัญญัติว่าในการอุทธรณ์การประเมินภาษีอากร ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทน สรรพากรเขตหรือผู้แทน และอัยการจังหวัดหรือผู้แทน เห็นว่าบุคคลที่กล่าวมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ หาได้เป็นแต่เพียงที่ปรึกษาของสรรพากรจังหวัดหรือกรมสรรพากรดังฎีกาของจำเลยไม่ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยยกอุทธรณ์ของโจทก์แล้ว ประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) ได้บัญญัติให้โจทก์อุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลได้อีก โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยต่อศาล หรือฟ้องสรรพากรจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมิน หรือฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลยได้อีกด้วยและเห็นว่าโจทก์ไม่ต้องฟ้องสรรพากรจังหวัดนนทบุรีหรือฟ้องกรมสรรพากรเป็นจำเลยด้วย ศาลก็พิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้ ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ดังฎีกา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share