แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำละเมิด นำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไปเลียนแบบใช้ให้ปรากฏที่สินค้าของจำเลย รวมทั้งเอารูปรอยประดิษฐ์แบบเดียวกับสินค้าของโจทก์ไปพิมพ์ไว้ที่ซองบรรจุสินค้าของจำเลย ทำให้ประชาชนหลงเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์ซึ่งสินค้าของจำเลยมีคุณภาพต่ำ ย่อมทำให้ลูกค้าของโจทก์ขาดความเชื่อถือไม่นิยมสินค้าของโจทก์ เป็นการทำลายชื่อเสียงทางการค้าของโจทก์ ทำให้สินค้าของโจทก์จำหน่ายได้ลดน้อยลง การที่โจทก์ประกาศหนังสือพิมพ์เป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนไม่เข้าใจผิดต่อไป และเป็นการระงับความเสียหายแก่ทางทำมาหาได้ในทางการค้าของโจทก์อัน เกิดจากการกระทำของจำเลยโดยตรง โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าประกาศหนังสือพิมพ์เป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายได้ ส่วนค่าจ้างนักสืบทำการสืบหาตัวผู้กระทำผิด เป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ ซึ่งไม่สมควรแก่พฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกได้
จำเลยแถลงยอมรับต่อโจทก์ทั้งสองตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่าได้ทำละเมิดต่อโจทก์จริง ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่ายอมรับว่าได้ทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองนั่นเอง รวมทั้งยอมรับในจำนวนค่าเสียหายด้วยคงตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยเพียงข้อเดียวว่า โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ในรายการใดบ้าง ใน 3 รายการที่โจทก์ขอมาเท่านั้นส่วนประเด็นอื่นเป็นอันสละทั้งสิ้น จำเลยจะกลับรื้อฟื้นโต้เถียงในชั้นฎีกาอีกว่าโจทก์ที่ 2 ไม่เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ เป็นการหยิบยกเอาประเด็นอื่นนอกเหนือจากที่ตกลงกันไว้มาสู้กันอีก อันเป็นการผิดข้อตกลง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าตราไก่ไว้สำหรับสินค้าเมล็ดแตงโม และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์ที่ 2 ซึ่งทำการจำหน่ายสินค้าเมล็ดแตงโมตราไก่แต่ผู้เดียวในประเทศไทยมาช้านานจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันผลิตสินค้าเมล็ดแตงโมออกจำหน่ายโดยเลียนแบบเครื่องหมายการค้าตราไก่ของโจทก์และยังได้เอารูปรอยประดิษฐ์ในการค้าของโจทก์ซึ่งเป็นรูปแตงโมและเมล็ดแตงโมมาพิมพ์ไว้ที่ซองบรรจุเมล็ดแตงโมของจำเลยทั้งสอง เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าเมล็ดแตงโมของโจทก์ทั้งสอง ต่อมาจำเลยทั้งสองถูกพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาและถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์และเอารูปรอยประดิษฐ์ในการประกอบการค้าของโจทก์มาใช้ คดีถึงที่สุด โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยรวม 3 รายการ คือ (ก) ค่าเสียหายเนื่องจากทำให้สินค้าของโจทก์จำหน่ายได้น้อยลงเป็นเงิน 380,000 บาท (ข) ค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องเสียค่าโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ให้ประชาชนทราบความจริงว่าสินค้าของจำเลยไม่ใช่สินค้าของโจทก์เป็นเงิน 150,450 บาท และ (ค) ค่าเสียหายในการที่โจทก์ต้องจ้างสายสืบสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดเป็นเงิน 50,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งสามรายการรวมเป็นเงิน 580,450 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำละเมิดเลียนเครื่องหมายการค้าและเอารูปรอยประดิษฐ์ของโจทก์มาใช้ สินค้าของโจทก์ขายได้ลดน้อยลงเพราะคุณภาพสินค้าของโจทก์ไม่ดีเอง การที่โจทก์เสียค่าโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ก็ดี จ้างสายสืบมาสอบสวนหาคนทำผิดก็ดี เป็นการทำของโจทก์เองโดยพลการไม่เกี่ยวกับจำเลย จำเลยไม่ต้องชดใช้ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน ขอให้ยกฟ้อง
คู่ความแถลงรับกันในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่าจำเลยทั้งสองยอมรับต่อโจทก์ทั้งสองว่าได้ทำละเมิดต่อโจทก์จริง และยอมรับในเรื่องจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ตามฟ้องข้อ (ก) เป็นเงิน 35,000 บาท ข้อ (ข) เป็นเงิน 150,450 บาท และข้อ (ค) เป็นเงิน 35,000 บาท คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ในรายการใดบ้าง ประเด็นอื่นคู่ความขอสละทั้งสิ้นและไม่ติดใจสืบพยานกันต่อไป
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้เฉพาะค่าเสียหายในการขายสินค้าน้อยลงเป็นเงิน 35,000 บาทเท่านั้นส่วนค่าโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ และค่าจ้างสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยได้ และโจทก์ที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเป็นเพียงผู้จำหน่ายสินค้าไม่ใช่เจ้าของเครื่องหมายการค้า พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 35,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองเต็มทั้งสามรายการรวมเป็นเงิน 220,450 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าค่าประกาศหนังสือพิมพ์ตามฟ้องข้อ (ข) เป็นค่าเสียหายซึ่งไกลกว่าเหตุ เพราะเป็นการประกาศภายหลังเมื่อการละเมิดของจำเลยได้สิ้นสุดแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหานี้โดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยนำเครื่องหมายการค้าของโจทก์ไปเลียนแบบใช้ให้ปรากฏที่สินค้าของจำเลยรวมทั้งเอารูปรอยประดิษฐ์แบบเดียวกับสินค้าของโจทก์ไปพิมพ์ไว้ที่ซองบรรจุสินค้าของจำเลยนั้น ย่อมทำให้ประชาชนทั่วไปหลงเข้าใจผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์ โจทก์กล่าวในฟ้องว่า สินค้าของจำเลยมีคุณภาพต่ำย่อมทำให้ลูกค้าของโจทก์ขาดความเชื่อถือและไม่นิยมสินค้าของโจทก์ เป็นการทำลายชื่อเสียงทางการค้าของโจทก์ จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธในข้อนี้ ทั้งจำเลยก็รับอยู่แล้วว่าเป็นการทำให้สินค้าของโจทก์จำหน่ายได้ลดน้อยลง การที่โจทก์ประกาศหนังสือพิมพ์เป็นการกระทำให้ประชาชนเข้าใจถูกต้องเพื่อจะได้ไม่หลงเข้าใจผิดต่อไปเป็นการกระทำเพื่อระงับความเสียหายแก่ทางทำมาหาได้ในทางการค้าของโจทก์อันเกิดจากการกระทำของจำเลยโดยตรง ซึ่งจำเลยเองก็ยอมรับแล้วว่าตนได้ทำละเมิดต่อโจทก์จริง โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าประกาศหนังสือพิมพ์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420, 438
ที่จำเลยฎีกาว่า ค่าจ้างนักสืบทำการสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดตามฟ้อง ข้อ (ค) เป็นค่าเสียหายที่เรียกไม่ได้ จำเลยไม่ควรต้องรับผิดนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหานี้โดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ค่าจ้างนักสืบในกรณีนี้เป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ ซึ่งไม่สมควรแก่พฤติการณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องได้
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ที่ 2 มิใช่เป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการละเมิดของจำเลย จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องโดยแจ้งชัดแล้วว่า โจทก์ที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 2 เป็นผู้จำหน่ายสินค้าเมล็ดแตงโมตราไก่ที่โจทก์ที่ 1 จดทะเบียนไว้แต่ผู้เดียวในประเทศไทยมาช้านานแล้ว จำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองโดยเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์และเอารูปรอยประดิษฐ์ในการประกอบการค้าของโจทก์ไปใช้ ทำให้โจทก์จำหน่ายสินค้าได้น้อยลง ซึ่งจำเลยทั้งสองก็ได้แถลงยอมรับต่อโจทก์ทั้งสองในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2525 แล้วว่าได้ทำละเมิดต่อโจทก์จริง อันย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยยอมรับแล้วว่าได้ทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองนั่นเอง รวมทั้งยอมรับในจำนวนค่าเสียหายด้วย คงตกลงกันให้ศาลวินิจฉัยเพียงข้อเดียวว่าโจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ในรายการใดบ้างใน 3 รายการที่โจทก์ขอมาเท่านั้น ส่วนประเด็นอื่นเป็นอันสละเสียทั้งสิ้น จำเลยจะกลับรื้อฟื้นโต้เถียงในชั้นฎีกาอีกว่า โจทก์ที่ 2 ไม่เสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่เป็นการหยิบยกเอาประเด็นอื่นนอกเหนือจากที่ตกลงกันไว้มาสู้อีก อันเป็นการผิดข้อตกลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนในการขายสินค้าได้น้อยลงเป็นเงิน 35,000 บาท กับค่าโฆษณาทางหนังสือพิมพ์อีก 150,450 บาท รวมเป็นเงิน 185,450 บาทแก่โจทก์