คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2679/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288(1) นั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องในคดีนั้นว่าเพราะเหตุเนิ่นช้าในการบังคับคดีอันเกิดแต่การยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ของผู้ร้องทำให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดได้ราคาต่ำไป ขอให้บังคับผู้ร้องใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของโจทก์ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะต้องไต่สวนเสียก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่หากเป็นความจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำร้องและเงินที่วางไว้เป็นประกันดังกล่าวเพียงพอที่จะชำระค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ได้ตามคำร้อง โจทก์ก็ชอบที่จะบังคับชำระเอาค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของโจทก์จากเงินประกันที่ผู้ร้องวางไว้ได้โดยไม่จำต้องไปฟ้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากผู้ร้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดตามบัญชีทรัพย์ท้ายคำร้องรวม 83 รายการ ราคาประมาณ 7,634 บาท โดยอ้างว่าเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยโจทก์ยื่นคำคัดค้านว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยทั้งหมด ขอให้ยกคำร้องกับโจทก์ยื่นคำร้องว่าคำร้องขอของผู้ร้องไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดี ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดเพื่อจำหน่ายทรัพย์โดยไม่ชักช้า หรือสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาด้วย ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องวางเงินประกันค่าสินไหมทดแทน จำนวน 3,000 บาท ซึ่งผู้ร้องได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลไว้แล้ว ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์เฉพาะรายการที่ 2 ซึ่งเป็นเก้าอี้สำหรับตัดผมส่วนรายการนอกนั้นให้ยก
โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 31 มีนาคม 2535 ว่า เมื่อทำการขายทรัพย์ที่ยึดรายการเลขที่ 3 ถึง 83 แล้วปรากฏว่าขายได้เพียง 1,854 บาท จากราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้2,634 บาท และถ้าไม่มีการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ จะขายได้ตามราคาบนฉลากประมาณ 3,500 บาท ราคาขายจึงต่ำไป 1,646 บาทเพราะเหตุเนิ่นช้าจากการร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับให้ผู้ร้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์เสียหายเป็นเงิน 1,646 บาท แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณียังไม่สมควรให้ผู้ร้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ในส่วนนี้ให้ยกคำร้อง
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 1 เมษายน 2535 ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ให้ยกคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่31 มีนาคม 2535 โดยสั่งให้ผู้ร้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามคำร้องดังกล่าวนั้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ายังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 31 มีนาคม 2535และวันที่ 1 เมษายน 2535
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288(1) นั้นเมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องในคดีนั้นว่าเพราะเหตุเนิ่นช้าในการบังคับคดีอันเกิดแต่การยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ของผู้ร้อง ทำให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดได้ราคาต่ำไป ขอให้บังคับผู้ร้องใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของโจทก์ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะต้องไต่สวนเสียก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ หากเป็นความจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำร้องและเงินที่วางไว้เป็นประกันดังกล่าวเพียงพอที่จะชำระค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ได้ตามคำร้อง โจทก์ก็ชอบที่จะบังคับชำระเอาค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายของโจทก์จากเงินประกันที่ผู้ร้องวางไว้ได้โดยไม่จำต้องไปฟ้องเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากผู้ร้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของโจทก์โดยมิได้ไต่สวนก่อนและศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายืนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 31 มีนาคม 2535 และวันที่ 1 เมษายน 2535ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและสั่งคำร้องของโจทก์ใหม่ตามรูปคดี

Share