คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2678/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 วรรคสี่ กำหนดกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานไว้ว่า คู่ความซึ่งขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานจะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน การที่โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 7 วัน เพราะทนายโจทก์ลงวันนัดชี้สองสถานในสมุดนัดความของทนายโจทก์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนเอง มิใช่กรณีมีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาได้อันจะเป็นเหตุอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานได้ โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเพียงขอให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางให้ศาลภาษีอากรกลางสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เป็นอุทธรณ์ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง200 บาท ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ (3)(ก) แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ให้พิพากษาว่าการประเมินภาษีโรงเรือนปี พ.ศ. 2532ของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และคำชี้ขาดคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินค่าภาษีโรงเรือนของคณะเทศมนตรีจำเลยที่ 1สำหรับอาคารเลขที่ 1369-1375 และอาคารเลขที่ 1363/1-3 ไม่ถูกต้องกับให้จำเลยคืนเงินค่าภาษี 87,688.06 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยกำหนดค่ารายปีสำหรับอาคารเลขที่ 1369-1375 เป็นเงิน 645,550 บาท และอาคารเลขที่1363/1-3 เป็นเงิน 2,095,264.50 บาท ถูกต้องและเหมาะสมแล้วเพราะพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจสอบนับจำนวนห้องจนได้จำนวนห้องตามความเป็นจริง โดยมีตัวแทนของผู้เช่าอาคารของโจทก์รับรองความถูกต้องและได้คำนวณค่ารายปีตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด จึงเป็นการถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนว่าศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช ทำการชี้สองสถานแทนศาลภาษีอากรกลางในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 และในวันดังกล่าวโจทก์ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยาน ต่อมาวันที่ 10 เมษายน 2533 ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้เพียงว่า คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 วรรคสี่ กำหนดกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานไว้ว่า คู่ความซึ่งขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานจะต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าโจทก์มีเหตุอันสมควรหรือไม่ที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าว โจทก์อ้างในคำร้องฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 ว่า เหตุที่โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 7 วันนั้น เกิดจากทนายโจทก์ลงวันนัดชี้สองสถานในสมุดนัดความของทนายโจทก์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป กล่าวคือ แทนที่จะลงวันนัดวันที่ 13 กุมภาพันธ์2533 กลับไปลงวันนัดเป็นวันที่ 23 เดือนเดียวกัน ซึ่งทนายโจทก์ยอมรับว่าตามหมายนัดได้นัดชี้สองสถานวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533จริง ทั้งตามคำแถลงของทนายโจทก์ที่แถลงต่อศาลในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 10 เมษายน 2533 ประกอบใบรับหมายนัดเอกสารในสำนวน อันดับที่ 16 ว่า ทนายโจทก์ได้ลงชื่อเป็นผู้รับหมายนัดชี้สองสถานไว้ด้วยตนเอง และตามสำนวนหมายนัด (เอกสารในสำนวนอันดับที่ 15) ก็มีข้อความถูกต้องตรงกันกับใบรับหมายนัดดังกล่าวว่าศาลนัดชี้สองสถานในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2533 ฉะนั้นการที่ทนายโจทก์ลงวันนัดในสมุดนัดความของทนายโจทก์ผิดพลาด แม้เป็นความจริง ก็เป็นข้อผิดพลาดบกพร่องของทนายโจทก์เอง มิใช่เป็นกรณีมีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาตามกฎหมายได้ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งยกคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานของโจทก์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกาเพียงขอให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางสืบพยานโจทก์พยานจำเลย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ซึ่งเป็นอุทธรณ์ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (2)(ก) แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันคำนวณเป็นราคาเงินได้ ตามตาราง 1 ข้อ (1)(ก) เป็นเงิน 2,192.50 บาทจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินแก่โจทก์”
พิพากษายืน.

Share