แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความเท็จในบันทึกการจับกุมไม่เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้นหรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริงพิพากษายกฟ้องโจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยดังกล่าว จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับไว้พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานตำรวจกองปราบปรามร่วมกันใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการอันมิชอบ กระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกระทง กล่าวคือเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2518 เวลากลางวัน (13.30 น.)จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันจับกุมโจทก์ทั้งสองที่ซอยประดู่ 1 แขวงบางโคล่ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร ในข้อหาว่ามีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 1 ร่วมกับตำรวจทำการจับกุมนางอนงค์นารถกับพวกฐานมีมูลฝิ่นไว้ในความครอบครองที่ตำบลสวนใหญ่อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 2 ที่ 3 ใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำพยานหลักฐานเอกสารอันเป็นเท็จ โดยจำเลยที่ 3 เขียนข้อความในบันทึกการจับกุมตัวโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมจับกุมตัวโจทก์ทั้งสองด้วยและจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ลงชื่อไว้ในบันทึกการจับกุมนั้น เมื่อจำเลยร่วมกันจัดทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จแล้ว จำเลยได้ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อร้อยตำรวจโทองอาจพนักงานสอบสวนกองปราบปรามว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำการจับกุมโจทก์ แสดงหลักฐานเท็จดังกล่าวเป็นเหตุให้ร้อยตำรวจโทองอาจหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชา และสั่งฟ้องโจทก์ทั้งสองในข้อหามีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ต่อมาจำเลยทั้งสามร่วมกันเบิกความเท็จต่อศาลอาญา ร่วมกันรับรองบันทึกการจับกุม ร่วมกันยืนยันบันทึกการสอบสวน เพื่อปรักปรำจำเลยทั้งสอง ในที่สุดศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุกโจทก์ทั้งสองคนละ 14 ปีขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 วรรคสอง, 179,172, 177, 174, 180, 83, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลทุกข้อหา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อความในบันทึกการจับกุมที่ว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้ร่วมกระทำการจับกุมด้วย เป็นข้อความอันเป็นเท็จ แต่ไม่ใช่เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้นหรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง ไม่เป็นความผิดฐานทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ และข้อความเท็จดังกล่าวไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนและเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาล ทั้งไม่เป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาโจทก์ที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้คดีจะไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพราะศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อกฎหมายก็ตาม แต่เรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ก็รับฟังอยู่แล้วว่าข้อความในบันทึกการจับกุมเป็นความเท็จดังที่โจทก์ที่ 1 ฎีกา หากแต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานทำพยานหลักฐานเท็จเท่านั้น ฎีกาโจทก์ที่ 1 จึงมิได้คัดค้านข้อเท็จจริงและมิได้คัดค้านข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อความเท็จในบันทึกการจับกุมไม่เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าได้มีความผิดอาญาเกิดขึ้น หรือเชื่อว่าความผิดอาญาที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นความจริง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216ศาลฎีกาไม่รับไว้พิจารณา
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์ที่ 1