แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยทั้ง 2 สมคบกับทำการลักทรัพย์ อ้างกฏหมายอาญามาตรา 63 แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 2 จ้างให้จำเลยที่ 1 ทำการลักทรัพย์โดยจำเลยที่ 2 มิได้ร่วมมือในการลักทรัพย์ด้วย ดังนี้ต้องถือข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้อง ลงโทษจำเลยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง ๒ สมคบกันลักกระดาษแบบลายพิมพ์นิ้วมือแสดงการที่บุคคลต่าง ๆต้องโทษตามคำพิพากษารวม ๖ แผ่นราคา ๖ สตางค์ ขอให้ลงโทษตามกฏหมายอาญามาตรา ๒๙๓,๒๙๔,๖๓ และขอให้กักกันจำเลยที่ ๒ ด้วยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๔ คนละ ๓ ปี กับให้ช่วยกันใช้ทรัพย์ ส่วนข้อขอกักกันให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ฉะเพาะจำเลยที่ ๒ คดีส่วนจำเลยที่ ๑ คงพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยทั้ง ๒ สมคบกันทำการลักทรัพย์และอ้างกฏหมายอาญามาตรา ๖๓ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ได้จ้างจำเลยที่ ๑ ให้ทำการลักทรัพย์ อันอาจเป็นความผิดตามบทมาตราอื่น ซึ่งโจทก์มิได้กล่าวถึงการกระทำหรืออ้างบทมาตรามาในฟ้อง เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ได้ลงมือในการลักทรัพย์ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๖๓ จึงต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาต่างกับข้อที่กล่าวอ้างในฟ้อง จะลงโทษจำเลยไม่ได้ ดังคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษายืน