คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ว่าราชการจังหวัดลงชื่อในคำสั่งของจังหวัดให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ โดยอ้างว่าออกทับที่สาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 เป็นคำสั่งของจังหวัดที่กระทำโดยผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นผู้แทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 70(75 เดิม) โจทก์ฟ้องจังหวัดเป็นจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 185 และเลขที่ 2880 เนื้อที่ 7 ไร่และ 30 ไร่ ตามลำดับ ต่อมาโจทก์สละที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 2880 ให้แก่ทางราชการประมาณ20 ไร่ เพื่อปลูกสร้างโรงเรียนและทางราชการโดยคณะกรรมการที่ดินได้ยกที่ดินซึ่งเป็นที่รกร้างว่างเปล่าอยู่ทางทิศเหนือของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2880 เนื้อที่เท่ากันให้แก่โจทก์เป็นการทดแทน โจทก์มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 185และ เลขที่ 2880 แก่ทางราชการ เพื่อรวมที่ดินทั้งสองแปลงกับที่ดินส่วนที่ทางราชการชดเชยให้โจทก์เข้าด้วยกัน และทำการรังวัดใหม่ตามความเป็นจริงแล้วออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับใหม่ให้โจทก์ คือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 2880 เนื้อที่36 ไร่ โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินดังกล่าวตลอดมา ต่อมาจำเลยทั้งสองร่วมกันมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2880 โดยอ้างว่าเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์โคกหนองม่วงทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยทั้งสองให้การว่า การสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามซึ่งมีนายไสว เป็นผู้ดำรงตำแหน่งโดยเฉพาะจำเลยทั้งสองมิใช่เป็นผู้มีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์มิได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 185และเลขที่ 2880 เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันเรียกว่า “โคกหนองม่วง” อันได้ขึ้นบัญชีที่ดินสาธารณประโยชน์กระทรวงมหาดไทยไว้แล้ว การจับจองทำประโยชน์และการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นายไสว ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม เป็นผู้ออกคำสั่งของจังหวัดมหาสารคามมีผลทำให้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ถูกเพิกถอน เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2เป็นผู้ใต้บังคับบัญชามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 1ทั้งเพียงแต่เป็นผู้แจ้งคำสั่งของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ทราบเท่านั้นจึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 2880 ได้ออกทับที่สาธารณประโยชน์โคกหนองม่วง จำเลยที่ 1 มีอำนาจสั่งเพิกถอนตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 การออกคำสั่งของจำเลยที่ 1จึงเป็นการกระทำโดยชอบแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาโจทก์ถึงแก่กรรม นางถวิลบุตรของโจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นต่อไป พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามที่โจทก์ฎีกามีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจังหวัดมหาสารคามเป็นจำเลยโดยมิได้ฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามได้หรือไม่ การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่านายไสว พราหมณี ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามได้มีคำสั่งจังหวัดมหาสารคามที่ 1928/2530 ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 2880ของโจทก์ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามมิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วยก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยสภาพแล้วไม่สามารถกระทำการด้วยตนเองได้ เว้นแต่จะกระทำโดยทางผู้แทนดังที่กฎหมายบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 70 ดังนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคามจึงเป็นผู้แทนของจังหวัดมหาสารคามในการแสดงเจตนาแทน คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งของจังหวัดมหาสารคามจำเลยที่ 1 นั่นเอง จำเลยที่ 1จะปฏิเสธเสียซึ่งความรับผิดเกี่ยวกับคำสั่งนั้นหาได้ไม่ ดังนั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1ยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินของโจทก์ได้ออกทับที่สาธารณประโยชน์โคกหนองม่วงหรือไม่ แม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงกันมาเสร็จสิ้นเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวไปเสียเองได้ก็ตาม แต่เห็นว่าประเด็นนี้สมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นผู้วินิจฉัย เพราะผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิจารณาพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานี้ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่

Share