แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ลูกจ้างของโจทก์ต้องเสียชีวิต เพราะการกระทำละเมิดของลูกจ้างจำเลยนั้น ถือไม่ได้ว่าโจทก์ต้องขาดแรงงาน เพราะเมื่อลูกจ้างโจทก์เสียชีวิต การจ้างแรงงานย่อมเป็นอันเลิกกัน โจทก์ไม่ได้แรงงานแต่ขณะเดียวกันโจทก์ก็ไม่ต้องให้สินจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้จากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่านายแล สามเตี้ย ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกสิบล้อไปในทางการที่จ้างชนรถยนต์ของโจทก์โดยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายและพนักงานของโจทก์ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2เป็นบริษัทจำกัดผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดร่วมด้วยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่ารถยนต์ 232,000บาท ค่าขาดแรงงานจากพนักงานโจทก์ที่เสียชีวิต 25,230 บาท และค่าทดแทนที่โจทก์ต้องจ่ายไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานเป็นเงิน 674,770 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 932,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่าเหตุละเมิดรถชนกันเกิดจากความประมาทของรถโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด รถโจทก์เป็นรถใช้แล้วราคาไม่เกิน100,000 บาท ข้อที่โจทก์อ้างว่าขาดแรงงาน 25,230 บาท และต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนอีก 674,770 บาท จะเป็นจริงอย่างไรจำเลยที่ 1 ไม่ทราบหากโจทก์ได้จ่ายไปก็เป็นความผูกพันตามกฎหมายที่โจทก์จะต้องจ่ายฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่บรรยายว่าขาดแรงงานอย่างไร และจ่ายค่าทดแทนให้แก่ใครเท่าใด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การมีใจความทำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 และว่าจำเลยที่ 2 รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไว้จากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลพันธ์เจริญลพบุรี ไม่ใช่จากจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุรถคันดังกล่าวมิได้ใช้ในกิจการห้างผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เหตุรถชนกันเกิดเพราะความประมาทของลูกจ้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิด ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเพราะห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลพันธ์เจริญลพบุรีผู้เอาประกันภัยไม่ได้เป็นผู้ครอบครองและใช้รถคันที่เอาประกันภัยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ20,000 บาท กับให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน 674,770 บาทที่โจทก์จ่ายให้แก่ทายาทของผู้ตายนั้น เป็นการจ่ายตามที่กฎหมายแรงงานบังคับไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารถยนต์ของโจทก์เป็นเงิน 232,000บาท ค่าที่โจทก์ต้องขาดแรงงานเป็นเงิน 25,230 บาท รวมเป็นเงิน 257,230บาท กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 3,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยที่ 1 แต่รถของโจทก์ใช้งานมานาน จึงกำหนดค่าสินไหมทดแทนของรถโจทก์เป็นเงินเพียง 200,000 บาท และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าขาดแรงงานของโจทก์ว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 575 บัญญัติว่า “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่านายจ้างและนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้” เมื่อพนักงานโจทก์เสียชีวิต การจ้างแรงงานย่อมเป็นอันเลิกกัน โจทก์ไม่ได้แรงงาน แต่ขณะเดียวกันโจทก์ก็ไม่ต้องให้สินจ้าง จึงถือไม่ได้ว่าการที่พนักงานโจทก์เสียชีวิตเป็นเหตุให้โจทก์ต้องขาดแรงงาน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคารถยนต์แก่โจทก์ 200,000บาท และให้ยกคำขอของโจทก์ที่เรียกค่าสินไหมทดแทนเรื่องขาดแรงงานนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ