แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของว. ลูกจ้างโจทก์ไว้กับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำของ ว.โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าว. ได้เบิกอุปกรณ์ไฟฟ้าไปใช้ในงานใด และไม่ส่งคืนคลังพัสดุจำนวนกี่รายการเป็นจำนวนเงินเท่าใด และได้เบิกอุปกรณ์ก่อสร้างเกินประมาณการไปในงานใดตามหมายเลขงานที่เท่าใดบ้าง ว. มิได้ส่งคืนและไม่มีให้ตรวจนับกี่รายการ เป็นจำนวนเงินเท่าใด อันเป็นคำฟ้องที่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนรายละเอียดว่า ว. ได้เบิกอุปกรณ์ไฟฟ้าไปปฎิบัติหน้าที่วันเวลาใดแต่ละครั้งเบิกไปเท่าใดเหลือที่จะต้องส่งคืนแต่ละครั้งเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่จะนำไปสืบในชั้นพิจารณาได้ ไม่จำต้องกล่าวมาในฟ้องด้วยคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า การไฟฟ้าเขต 2 อุบลราชธานีภาค 2 เป็นหน่วยงานหนึ่งของโจทก์ มีสำนักงานตั้งอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลการปฎิบัติงานของพนักงาน รวมถึงการไฟฟ้าจังหวัดศรีสะเกษให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากโจทก์ นายวินิจ แจ่มวงษ์ เคยเป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่ปี 2524 ถึงปี 2530 ตำแหน่งช่างระดับ 2 ประจำกองเทคนิคการไฟฟ้าเขต 2 อุบลราชธานี ภาค 2 ปัจจุบันโจทก์ได้ไล่นายวินิจออกจากงานแล้ว จำเลยทั้งสองเป็นผู้ค้ำประกันการปฎิบัติงานของนายวินิจโดยยินยอมร่วมกันผูกพันตนว่า หากนายวินิจทำทำความเสียหายแก่โจทก์จะเป็นในหน้าที่การงานหรือไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม จำเลยทั้งสองยินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์แทนจนครบโดยมิพักต้องให้โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายจากนายวินิจก่อน ในระหว่างที่นายวินิจเป็นลูกจ้างโจทก์ เมื่อประมาณปี 2527 ถึงปี 2530 นายวินิจได้เบิกอุปกรณ์ไฟฟ้าไปปฎิบัติงานก่อสร้างขยายเขตระบบจำหน่ายไฟฟ้าตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อเสร็จงานเปิดจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่หมู่บ้านดังกล่าวแล้ว นายวินิจไม่นำส่งสายไฟฟ้าที่เหลือคืนคลังพัสดุจำนวน 6 รายการคิดเป็นเงิน 362,565.30 บาทโจทก์ได้ทวงถามให้นายวินิจชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว แต่นายวินิจเพิกเฉย จึงได้ฟ้องให้นายวินิจชำระเงิน และศาลแรงงานกลางได้พิพากษาให้นายวินิจชำระเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมาโจทก์ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนนายวินิจเพิ่มเติมกรณียังมีอุปกรณ์ที่นายวินิจส่งคืนไม่ได้ ผลการสอบสวนปรากฎว่านายวินิจเบิกอุปกรณ์ไปใช้ในงานก่อสร้างเกินประมาณการจำนวน 9 งานซึ่งนายวินิจไม่นำส่งคืนคลังพัสดุและไม่มีให้ตรวจนับรวม 41 รายการ เมื่อตัดอุปกรณ์ที่นายวินิจไม่ต้องรับผิดชอบจำนวน 3 รายการ เป็นเงิน 20,832.65 บาท ออกแล้วคงเหลือที่นายวินิจต้องรับผิดรวมเป็นเงิน 101,531.45 บาท นอกจากนี้นายวินิจยังเบิกอุปกรณ์งานก่อสร้างเกินกว่าประมาณการ จำนวน5 งาน ซึ่งนายวินิจไม่นำส่งคืนคลังและไม่มีให้ตรวจนับและขาดบัญชี รวม 36 รายการ เป็นเงิน 76,039.53 บาท ด้วย การกระทำของนายวินิจดังกล่าวข้างต้นเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมกันหรือแทนกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้นเป็นเงิน 540,136.28 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่17 มิถุนายน 2532 เป็นเงิน 159,599.16 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงิน พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ในคำฟ้องของโจทก์มิได้แจ้งรายละเอียดแห่งข้อหาและความเสียหายที่แท้จริงที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ มิได้บรรยายถึงรายละเอียดว่านายวินิจได้เบิกวัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าไปปฎิบัติหน้าที่วันเวลาใด และแต่ละครั้งเบิกไปเท่าใด มีครั้งไหนบ้างที่นายวินิจไม่นำมาคืนแก่โจทก์ อีกทั้งในการปฎิบัติหน้าที่มีเจ้าหน้าที่ผู้ต้องร่วมรับผิดกี่คน จึงทำให้จำเลยที่ 1 ไม่สามารถที่จะต่อสู้คดีได้ ในคำฟ้องของโจทก์ไม่มีเอกสารท้ายคำฟ้องแนบมาด้วยจึงเป็นคำฟ้องที่ปราศจากเอกสาร จำเลยที่ 1 ไม่สามารถที่จะใช้ดูประกอบคำฟ้องได้ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อแรกตามที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 อ้างว่า ฟ้องโจทก์มิได้บ่งบอกถึงรายละเอียดแห่งข้อหาที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิด โดยระบุเพียงว่ามีกี่หน่วยงานพร้อมทั้งระบุถึงความเสียหายโดยใช้ยอดรวมเป็นหลัก ไม่มีการแยกประเภทงานและวัสดุที่เสียหายว่ามีเท่าใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของนายวินิจ แจ่มวงษ์ ไว้กับโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำของนายวินิจซึ่งจำเลยทั้งสองค้ำประกันไว้ โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องกล่าวถึงการกระทำอันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายว่า นายวินิจได้เบิกอุปกรณ์ไฟฟ้าไปใช้ในงานใดและไม่ส่งคืนคลังพัสดุจำนวนกี่รายการเป็นจำนวนเงินเท่าใด และได้เบิกอุปกรณ์ก่อสร้างเกินประมาณการไปในงานใด ตามหมายเลขงานที่เท่าใดบ้าง นายวินิจมิได้ส่งคืนและไม่มีให้ตรวจนับกี่รายการเป็นจำนวนเงินเท่าใด อันเป็นคำฟ้องที่แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ส่วนรายละเอียดว่านายวินิจได้เบิกอุปกรณ์ไฟฟ้าไปปฎิบัติหน้าที่วันเวลาใด แต่ละครั้งเบิกไปเท่าใด เหลือที่จะต้องส่งคืนแต่ละครั้งเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่จะนำไปสืบในชั้นพิจารณาได้ ไม่จำต้องกล่าวมาในฟ้องด้วย คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน