คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2663/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยขอกู้เงินโจทก์และในวันเดียวกันนั้นได้แสดงเจตนาขอสละทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ร้องทั้งที่ตนไม่มีทรัพย์อื่นอีก และผู้ร้องเป็นผู้เยาว์ยังอยู่ในอำนาจปกครองของจำเลย พฤติการณ์การสละมรดกยังไม่สมเหตุผล ถือว่าเพียงแต่ให้ผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดกไว้แทนเท่านั้น จำเลยยังคงเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์มรดกผู้ร้องไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์มรดก และโจทก์ยึดทรัพย์มรดกได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่.
ปัญหามีว่า ทรัพย์มรดกยังเป็นของจำเลยหรือไม่ดังนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่าการสละมรดกของจำเลยเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กัน ตกเป็นโมฆะ ผู้ร้องมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์มรดกแทนจำเลย จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงบังคับคดียึดที่ดินและบ้านพิพาทขายทอดตลาดชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์
โจทก์ให้การว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ถึงแก่กรรมศาลฎีกาอนุญาตให้เรียกนางบุญมา นำผล เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์ผู้มรณะ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทรัพย์พิพาทเป็นปรดกตกได้แก่จำเลยทั้งสองและพี่ของผู้ร้องทุกคนรวมทั้งผู้ร้องด้วยเมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับมรดกทรัพย์พิพาททายาททุกคนต่างสละมรดกให้แก่ผู้ร้อง เจ้าพนักงานที่ดินจึงได้จดทะเบียนโอนทรัพย์พิพาทให้ผู้ร้องแต่ผู้เดียว คดีมีปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องว่า จำเลยที่ 1ยังคงมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทอยู่อีกหรือไม่เห็นว่า การขอรับมรดกกับการสละมรดกกระทำกันอย่างเร่งรีบผิดปกติธรรมดา กล่าวคือ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับมรดกวันนี้ รุ่งขึ้นจำเลยที่ 1 ก็ขอสละมรดกและยังได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้ไปขอกู้เงินโจทก์วันเดียวกับวันที่ขอสละมรดกนั่นเอง ประกอบกับมรดกมีเพียงทรัพย์พิพาทเท่านั้น ไม่มีทรัพย์สินอื่นอีก ผู้ร้องก็เป็นผู้เยาว์ยังอยู่ในอำนาจปกครองของจำเลยที่ 1 พี่ของผู้ร้องทุกคนที่สละมรดกก็ได้ความว่ายังไม่มีอาชีพเป็นหลักฐานและต่างอาศัยอยู่ในทรัพย์พิพาทร่วมกับผู้ร้อง ส่วนที่โฉนดที่ดินแปลงพิพาทซึ่งโจทก์ยึดไว้เป็นประกันหนี้ตกไปอยู่ในความครอบครองของผู้ร้องได้นั้นก็เชื่อว่าโจทก์มอบให้ไปเพราะจำเลยที่ 1 มาอ้างว่าจะเอาไปติดต่อขอยืมเงินจากบุคคลอื่นมาชำระให้โจทก์ดังที่โจทก์เบิกความเพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่โจทก์จะให้คืนไปทั้งที่ยังไม่ได้รับชำระหนี้ จากพฤติการณ์ดังกล่าว เห็นว่า การสละมรดกของจำเลยที่ 1 นอกจากจะไม่สมเหตุผลแล้ว ยังเป็นหลักฐานบ่งชี้ให้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เพียงแต่ให้ผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทไว้แทนเท่านั้น จำเลยที่ 1 ยังคงเป็นเจ้าของร่วมอยู่ในทรัพย์พิพาท ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท
ที่ผู้ร้องฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า มีการจดทะเบียนให้ผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทแต่ผู้เดียวแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 ยังมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทอยู่ดังได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น โจทก์จึงยึดได้ที่ผู้ร้องฎีกาอีกว่าหากโจทก์เห็นว่าการสละมรดกของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบโจทก์ก็ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการสละมรดกเสียนั้น เห็นว่า เมื่อผู้ร้องเพียงแต่ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทไว้แทนจำเลยที่ 1 ดังได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น จำเลยที่ 1 จึงยังมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาท โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์พิพาทได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ประเด็นมีเพียงว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 หรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการสละมรดกของจำเลยที่ 1 เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันตกเป็นโมฆะและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้ร้องมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทแทนจำเลยที่ 1 และทายาทอื่น เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทว่ายังเป็นของจำเลยที่ 1 อยู่ ดังนี้จึงหาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share