แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อ ร. ลูกหนี้ถึงแก่ความตายในวันที่ 2 กันยายน 2532 โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ของ ร. จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี นับแต่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของ ร. ทั้งนี้ มิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่ ร. ถึงแก่ความตาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสามและวรรคท้าย กรณีมิใช่อายุความมีกำหนด 1 ปี นับแต่วันถึงแก่ความตายของ ร. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/23 ทั้งนี้เพราะการที่จะอยู่ภายใต้บังคับอายุความในมาตราดังกล่าว ต้องเป็นกรณีที่อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ก่อนที่ ร. ถึงแก่ความตายจะครบกำหนดภายใน 1 ปี นับแต่ ร. ถึงแก่ความตายเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม และวรรคท้าย
การจะวินิจฉัยปัญหาว่าคดีโจทก์ถ้าขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรคสาม และวรรคท้ายหรือไม่ จะต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติเสียก่อนว่าโจทก์ได้ทราบเรื่อง ร. ถึงแก่ความตายเมื่อใด ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวจากพยานหลักฐานของโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 แต่อย่างใด ทั้งคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันมีเพียง 31,056.50 บาท การวินิจฉัยข้อเท็จจริงใด ๆ ของศาลชั้นต้นอาจมีผลทำให้คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวจากพยานหลักฐานของโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ก่อน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 240 (3) ประกอบด้วยมาตรา 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๓๑,๐๕๖.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๒๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๐,๒๑๖.๓๔ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เคยเป็นสามีนางรัตนา สิงห์ปัน แต่จดทะเบียนหย่ากันเมื่อปี ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง นางรัตนากู้เงินโจทก์วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๒๓ โจทก์ฟ้องคดีเมื่อล่วงเลยเวลากว่า ๑๗ ปีแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่เคยได้รับการแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้ปกครองทรัพย์มรดกของนางรัตนาผู้ตาย จึงไม่มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ เป็นบุตรจำเลยที่ ๑ กับนางรัตนา สิงห์ปัน เมื่อนางรัตนาถึงแก่ความตายไม่มีทรัพย์มรดกใด ๆ ตกทอดแก่จำเลยที่ ๒ ฟ้องโจทก์ขาดอายุ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ศาลชั้นต้นอนุญาต และให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๓ ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้น ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๒๓ นางรัตนา สิงห์ปัน กู้เงินไปจากโจทก์ สาขาเชียงราย จำนวน ๑๓,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๔ เป็นผู้ค้ำประกัน นางรัตนาชำระหนี้ครั้งสุดท้ายวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๑ จำนวน ๖๐๐ บาท และยังคงค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ย ต่อมาวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๒ นางรัตนาถึงแก่ความตาย โจทก์นำคดีมาฟ้อง วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๑ เห็นว่าในสัญญากู้เงินมีข้อตกลงว่าผู้กู้จะชำระหนี้ตามสัญญานี้เมื่อผู้ให้กู้เรียกร้องมิได้มี ข้อตกลงเรื่องการชำระหนี้ไว้ให้ปรากฏ จึงต้องฟังว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นสัญญาที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๓ วรรคหนึ่ง อายุความจึงเริ่มนับแต่วันถัดไปคือ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๒๓ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓ วรรคสอง และมาตรา ๑๙๓/๑๒ และกฎหมายมิได้บัญญัติกำหนดอายุความของการกู้ยืมเงินไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องให้นางรัตนาชำระหนี้แก่โจทก์ได้ภายในกำหนดเวลา ๑๐ ปี เมื่อนางรัตนานำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๑ การกระทำดังกล่าวจึงฟังได้ว่า นางรัตนา ได้ยอมรับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง อันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑) และต้องเริ่มต้นนับอายุความใหม่ในวันถัดจากวันที่ได้มีการชำระหนี้คือ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๓๑ และจะครบกำหนดอายุความ ๑๐ ปี ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๑ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓ วรรคสอง มาตรา ๑๙๓/๕ วรรคสอง และมาตรา ๑๙๓/๑๕ วรรคสอง อย่างไรก็ตามเมื่อนางรัตนา ถึงแก่ความตายวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๒ โจทก์จะอ้างอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าวอีกหาได้ไม่ เนื่องจากโจทก์จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนด ๑ ปี นับแต่โจทก์ได้รู้ถึงความตายของนางรัตนา ทั้งนี้มิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนด ๑๐ ปี นับแต่นางรัตนาถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๕๔ วรรคสาม และวรรคท้าย กรณีมิใช่ อายุความมีกำหนด ๑ ปี นับแต่วันถึงแก่ความตายของนางรัตนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๒๓ ทั้งนี้เพราะการที่จะอยู่ภายใต้บังคับอายุความในมาตราดังกล่าว ต้องเป็นกรณีที่อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์ก่อนที่นางรัตนาถึงแก่ความตายจะครบกำหนดภายใน ๑ ปี นับแต่นางรัตนาถึงแก่ความตายเท่านั้น จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เห็นว่า การที่จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจะต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติเสียก่อนว่าโจทก์ได้ทราบเรื่องนางรัตนาถึงแก่ความตายตั้งแต่เมื่อใด ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ แต่อย่างใด ทั้งคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันมีเพียง ๓๑,๐๕๖.๕๐ บาท การวินิจฉัย ข้อเท็จจริงใด ๆ ของศาลชั้นต้นอาจมีผลทำให้คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวจากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๐ (๓) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๗
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นนี้ ๑๘๗.๕๐ บาท ให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ