คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในระหว่างที่โจทก์ต้องโทษจำคุก แม้โจทก์จะได้รับการพักโทษปล่อยตัวออกจากเรือนจำก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์พ้นโทษนับแต่วันที่ได้พักการลงโทษ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าวันครบกำหนดโทษของโจทก์ คือวันที่ 6 มกราคม 2515 วันพ้นโทษของโจทก์จึงต้องนับแต่วันที่ 7 มกราคม 2515 เป็นต้นไป ฉะนั้นวันที่โจทก์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านในวันที่ 19 มกราคม 2516 และรับเลือกตั้งเป็นกำนันในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2516 จึงยังไม่พ้นกำหนด 3 ปีนับแต่วันพ้นโทษ โจทก์จึงขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนัน ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งได้โดยหาจำต้องใช้สิทธิทางศาลไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๑๖ และได้รับเลือกตั้งเป็นกำนันเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ต่อมามีผู้ร้องเรียนจำเลยที่ ๒ ว่าโจทก์เคยต้องโทษจำคุกพ้นโทษมายังไม่เกิน ๓ ปี ขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านกำนันจำเลยที่ ๒ จึงสอบคุณสมบัติของโจทก์และรายงานให้จำเลยที่ ๑ ทราบ แล้วจำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งว่าโจทก์ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนัน สั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะระหว่างโจทก์ต้องโทษจำคุกโจทก์ได้รับการพักโทษปล่อยตัวออกจากเรือนจำตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ ต้องถือว่าโจทก์ได้รับโทษจำคุกเพียงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ นับจากวันที่โจทก์พ้นโทษถึงวันโจทก์สมัครรับเลือกตั้งจึงเกินกว่า ๓ ปี โจทก์จึงมีคุณสมบัติในการรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนัน และตามกฎหมายจำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและห้ามจำเลยดำเนินการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันแทนโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนัน เพราะเคยต้องโทษจำคุกนับถึงวันเลือกตั้งยังไม่พ้นกำหนด ๓ ปี นับแต่วันพ้นโทษ
โจทก์ยื่นคำแถลงรับว่าเคยต้องโทษจำคุกตามคำให้การจำเลยและตามเอกสารท้ายคำให้การจำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยจึงสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับพักโทษตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ ถือไม่ได้ว่าโจทก์พ้นโทษตั้งแต่วันดังกล่าววันพ้นโทษของโจทก์ยังไม่พ้นกำหนด ๓ ปี โจทก์จึงขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันจำเลยที่ ๑ มีอำนาจออกคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งได้พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าโจทก์ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันในเหตุที่เคยต้องโทษจำคุกพ้นโทษมายังไม่ เกิน ๓ ปี โดยอ้างว่าการที่โจทก์ได้พักโทษตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ แล้ว โจทก์มิเคยกลับเข้าไปอยู่ในเรือนจำอีกจนถึงวันครบกำหนดโทษที่เหลืออยู่ต้องถือว่าโจทก์พ้นโทษนับแต่วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ เทียบเคียงได้กับเรื่องที่ศาลรอการลงโทษจำคุก เมื่อพ้นเวลาที่ศาลกำหนดโทษจำคุกที่ลงเป็นอันยกเลิกหรือไม่ก็เท่ากับเป็นการอภัยโทษลดโทษจำคุกให้แก่โจทก์โดยมี เงื่อนไขนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการรอการลงโทษจำคุกเป็นกรณีที่ยังไม่มีการลงโทษส่วนการพักการลงโทษเป็นกรณีที่มีขึ้นหลังจากมีการลงโทษจำคุกแล้วโดยผู้ที่ได้รับการพักโทษยังมีฐานะเป็นผู้ต้องโทษอยู่ในระหว่างพักการลงโทษ ถือไม่ได้ว่าพ้นโทษนับแต่วันที่ได้พักการลงโทษ จึงเป็นคนละกรณีใช้เทียบเคียงกันไม่ได้ การได้รับอภัยโทษลดโทษจำคุกเป็นวิธีการที่ใช้สำหรับลดโทษจำคุกของผู้ต้องโทษให้เหลือน้อยลง และให้มีผลในทันทีมิใช่ใช้โดยมีเงื่อนไข ไม่เหมือนกับการพักโทษซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้สำหรับให้โอกาสแก่ผู้ต้องโทษได้ออกไปอยู่นอกเรือนจำก่อนจะพ้นโทษ โดยยังมีฐานะเป็นผู้ต้องโทษอยู่เป็นคนละกรณีใช้เทียบเคียงไม่ได้เช่นกันเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าวันครบกำหนดโทษ ของโจทก์คือวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๑๕ วันพ้นโทษของโจทก์จึงต้องนับแต่วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๑๕ เป็นต้นไป ฉะนั้นวันที่โจทก์ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านในวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๑๖ และรับเลือกตั้งเป็นกำนันในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ จึงยังไม่พ้นกำหนดเวลา ๓ ปี นับแต่วันพ้นโทษ โจทก์จึงขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนัน
ข้อฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งในกรณีที่โจทก์ขาดคุณสมบัติหรือเข้าลักษณะต้องห้ามในการดำเนินการให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งชอบที่จะใช้สิทธิทางศาลนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในเรื่องคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมครั้งสุดท้ายตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๖๔ ข้อ ๒ ว่า “ผู้ใหญ่บ้านต้องออกจากตำแหน่งด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้
(๑) ขาดคุณสมบัติหรือเข้าลักษณะต้องห้ามอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา ๑๒
ฯลฯ
(๗) ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้ออกจากตำแหน่งเมื่อได้สอบสวนเห็นว่าบกพร่องในทางความประพฤติหรือความสามารถไม่ เหมาะสมกับตำแหน่ง”
ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าแม้แต่ผู้ใหญ่บ้านบกพร่องในทางความประพฤติหรือความสามารถไม่เหมาะสมกับ ตำแหน่งซึ่งไม่ถึงขั้นขาดคุณสมบัติ หรือเข้าลักษณะต้องห้ามกฎหมายก็ยังให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะมีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งได้ เมื่อพิจารณาประกอบกับประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑๘ ข้อ ๕๐ ซึ่งบัญญัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในราชการของจังหวัดและอำเภอ และข้อ ๕๓ บัญญัติให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจหน้าที่บริหารราชการตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ แสดงให้เห็นว่าเมื่อโจทก์ขาดคุณสมบัติหรือเข้าลักษณะต้องห้ามการเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันตามมาตรา ๑๔(๑) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ดังกล่าวแล้ว ก็เป็นอำนาจของจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะมีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากตำแหน่งได้หาใช่มีอำนาจสั่งให้พ้นจากตำแหน่งเฉพาะแต่กรณี ตามมาตรา ๑๔(๗) เท่านั้นไม่กรณีจึงไม่จำต้องใช้สิทธิทางศาลดังโจทก์ฎีกา
พิพากษายืน

Share