แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรับจำนำจักรไว้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2505 เป็นเงิน 1,700 บาท ขณะนั้นพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2480 ยังใช้บังคับอยู่ มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัตินี้บัญญัติให้รับจำนำประกันเงินกู้ซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 400 บาท เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2480 การรับจำนำเช่นนี้ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การที่จำเลยรับจำนำจักรรายนี้ต่อเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2506 และออกตั๋วให้ใหม่ ไม่ทำให้เป็นการรับจำนำตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2506 ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2505
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของจักรเย็บผ้าซิงเกอร์แบบ ๒๐๑ เค ๒๑ บี แอล เค ๔๐๔ เลขจักร บี เอส ๒๓๘๒๐๗ ซึ่งนายถมยาได้เช่าซื้อไปเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๐๕ ราคา ๔,๗๘๐ บาท โดยจะต้องชำระค่าเช่าซื้อเดือนละ ๑๖๐ บาท จนกว่าจะครบโจทก์จึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้ แต่ผู้ซื้อยังชำระราคาไม่ครบ โจทก์จึงยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้ จำเลยเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนดำเนินกิจการโรงรับจำนำ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๐๕ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการได้รับจำนำจักดังกล่าวไว้ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่สอบสวนให้รู้ว่าผู้จำนำไม่มีกรรมสิทธิ์ รับจำนำไว้เป็นเงิน ๑,๗๐๐ บาท จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ จำเลยออกตั๋วจำนำเลข ๗๔๖๙ ให้ และเมื่อผู้จำนำส่งดอกเบี้ยเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ จำเลยได้ออกตั๋วให้ใหม่เลข ๔๘๙๑ โจทก์ได้ส่งจดหมายลงทะเบียนให้จำเลยคืนจักรให้โจทก์ใน ๗ วัน จำเลยไม่ยอมรับจดหมายลงทะเบียน โจทก์จึงถือว่าได้บอกกล่าวแล้ว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยให้คืนจักรหรือใช้ราคา ๔,๗๘๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า ใบมอบอำนาจของโจทก์ไม่ถูกต้อง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จักรที่จำเลยรับจำนำไว้กับจักรรายพิพาทเป็นคนละคัน จำเลยไม่ได้ประมาทเลินเล่อในการรับจำนำ จำเลยรับจำนำเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ เป็นการรับจำนำตามสัญญาใหม่ซึ่งพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๕๐๕ ใช้บังคับแล้ว จำเลยย่อมได้รับความคุ้มครอง คำบอกกล่าวของโจทก์ให้คืนจักรมิได้เสนอที่จะชำระหนี้จำนำ จำเลยยังมิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง บัดนี้ล่วงเลยเวลาไถ่คืน จำเลยได้ประกาศและปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ไม่มีผู้ใดมาขอไถ่ จักรดังกล่าวจึงตกเป็นของจำเลย จำเลยได้ทรัพย์มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน มิได้ประมาทเลินเล่อ จึงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอสืบพยานในเรื่องอำนาจฟ้อง และสืบว่าจักรรายพิพาทเป็นจักรคันเดียวกับคันที่โจทก์ฟ้องเรียกคืน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยาน โจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ใบมอบอำนาจของโจทก์ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๗ โจทก์มีอำนาจฟ้อง ในเรื่องการรับจำนำจักรนั้น จำเลยได้รับจำนำเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๐๕ จึงต้องใช้บังคับตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๔๘๐ ปรากฏตามเอกสารว่า นายถมยาเช่าซื้อเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๐๕ แต่จำเลยรับจำนำจากนายเสน่ห์เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๐๕ แม้ตัวเลขของจักรตรงกัน ก็ไม่สามารถจะฟังว่าเป็นจักรรายเดียวกันได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ขอนำสืบว่าจักรคันที่ฟ้องเป็นจักรคันเดียวกับคันที่จำเลยรับจำนำ
ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และจำเลยมิได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๕๐๕
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ในเรื่องการรับจำนำนั้น จำเลยได้รับจำนำจักรเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๐๕ เป็นเงิน ๑,๗๐๐ บาท เมื่อผู้จำนำส่งดอกเบี้ยในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ จำเลยได้ออกตั๋วให้ใหม่นั้น พระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๔๘๐ มาตรา ๔ บัญญัติว่า ในพระราชบัญญัตินี้ “รับจำนำ” หมายความว่า กิจการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖ กล่าวคือ รับจำนำไว้เป็นประกันเงินกู้ซึ่งมีจำนวนไม่เกิน ๔๐๐ บาท ฯลฯ ดังนั้น การที่จำเลยรับจำนำจักรไว้เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นเงิน ๑,๗๐๐ บาท จึงไม่ใช่การรับจำนำตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๔๘๐ จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัตินี้ แต่เป็นการรับจำนำที่จะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่จำเลยได้รับจำนำต่อเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ ไม่กระทำให้เป็นการรับจำนำตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งเพิ่งใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในจักรรายนี้ ก็ย่อมมีสิทธิจะติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลย
แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นการชอบแล้ว พิพากษายืน