แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลผู้ตายค่าปลงศพผู้ตายรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆและค่าขาดไร้อุปการะเนื่องจากเหตุที่ผู้ตายได้รับอันตรายแก่ร่างกายและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้นเป็นปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ตายหรือไม่อันเป็นประเด็นในคดีอาญาที่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4),5(2)ในส่วนนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา46แม้โจทก์จะมิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีอาญาด้วยโจทก์ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญานั้น โจทก์ร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องของพนักงานอัยการที่ศาลอาญาสั่งยกคำร้องโดยพิจารณาตามคำฟ้องที่ได้บรรยายว่าผู้ตายได้กระทำผิดด้วยโจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เป็นการวินิจฉัยว่ามีเหตุที่จะอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องนั้นได้หรือไม่มิใช่เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่จะถือเป็นยุติว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายดังนั้นในข้อหาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายอันเป็นประเด็นโดยตรงที่จำเลยถูกฟ้องยังต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามนัยบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้นการที่โจทก์มิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่เกิดผลที่จะให้ศาลในคดีส่วนแพ่งไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ส่วนในกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นเงิน20,113บาทกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางของโจทก์เพื่อติดต่อสอบถามดำเนินการอันเนื่องมาจากเหตุรถชนกันเป็นเงิน5,000บาทนั้นเป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทำละเมิดต่อตัวทรัพย์ของโจทก์หรือไม่ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา291ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยโดยเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับข้อหาที่จำเลยถูกฟ้องตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43,157ที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายดังนั้นในส่วนนี้โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาแต่เป็นกรณีที่ต้องฟังข้อเท็จจริงกันใหม่จากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบกันมาในสำนวนคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอำนวย ยิ่งรุ่งเรือง อันเกิดแต่นางประทุม ยิ่งรุ่งเรืองและโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์หมายเลยทะเบียนกรุงเทพมหานคร 5 ช – 6905 จำเลยเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน 2 ง – 2275 กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่11 ตุลาคม 2531 เวลาประมาณ 7.30 นาฬิกา จำเลยได้ขับรถยนต์ของจำเลยโดยประมาทชนกับรถจักรยานยนต์ของนายอำนวยเป็นเหตุให้นายอำนวยได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องเข้ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดชและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา และทำให้รถจักรยานยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายหลายรายการ รวมเป็นค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 294,453 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 294,453บาท นับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2531 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 364 วันโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยเพียง 22,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้นจำนวน 316,453 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 316,453บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้น294,453 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอำนวย ยิ่งรุ่งเรือง ผู้ตาย และโจทก์มิได้จดทะเบียนสมรสกับนางประทุม ยิ่งรุ่งเรือง ทั้งนายอำนวยไม่ได้เป็นบุตรที่เกิดจากโจทก์กับนางประทุม จำเลยขอปฎิเสธความถูกต้องแท้จริงของเอกสารท้ายฟ้องทุกฉบับ เนื่องจากเป็นเพียงสำเนาเท่านั้นและเป็นเอกสารเท็จที่โจทก์ได้ทำปลอมขึ้นมาทั้งหมดโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 5 ช – 6905 ในขณะเกิดเหตุ หากแต่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เหตุเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของนายอำนวยผู้ตายแต่เพียงฝ่ายเดียวค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลนายอำนวยก่อนตายนั้นหากจะมีก็ไม่เกิน 500 บาท ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการจัดการงานศพตามฐานานุรูปของผู้ตายสมควรไม่เกิน 15,000 บาท นายอำนวย ก่อนตายมีรายได้ไม่แน่นอน ค่าขาดไร้อุปการะจะมีบ้างก็ไม่เกิน 10,000 บาท รถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 5 ช – 6905 เสียหายเพียงเล็กน้อยสามารถซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมได้ในจำนวนไม่เกิน 1,500 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายอำนวย ยิ่งรุ่งเรือง ผู้ตายและเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 5 ช – 6905 คดีได้ความต่อไปว่า ในมูลกรณีที่รถชนกันตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้พนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นคดีอาญาขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 9129/2533 ของศาลอาญา ศาลในคดีอาญาดังกล่าวได้มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้ประมาทเลินเล่อในการขับรถยนต์ คดีถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าการที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าจำเลยมิได้กระทำโดยประมาทมาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และพิพากษายกฟ้องนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า คำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ เพราะโจทก์มิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวเนื่องจากเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยในคดีนั้นต่างก็คัดค้านว่าโจทก์คดีนี้มิใช่ผู้เสียหาย ศาลอาญาจึงสั่งยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เมื่อยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลอาญา ศาลอาญาก็สั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่ามิใช่คู่ความศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่ารักษาพยาบาลผู้ตาย ค่าปลงศพผู้ตายรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ และค่าขาดไร้อุปการะ เนื่องจากเหตุที่ผู้ตายได้รับอันตรายแก่ร่างกายและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมานั้นเป็นปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ตายหรือไม่อันเป็นประเด็นในคดีอาญาดังกล่าวที่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งโจทก์เป็นผู้เสียหายตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4), 5 (2) ในส่วนนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 แม้โจทก์จะมิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีอาญาด้วย โจทก์ก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญานั้น การที่ศาลในคดีอาญามีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโดยมีคำสั่งว่า ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าผู้ตายได้กระทำผิดด้วยกันกับจำเลยโดยต่างฝ่ายต่างขับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ด้วยความประมาทจนเกิดเหตุชนกัน ตามคำฟ้องจึงมิใช่ผู้เสียหายโจทก์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการไม่ได้ จึงให้ยกคำร้องนั้น เห็นว่า โจทก์ร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องของพนักงานอัยการ ที่ศาลอาญาสั่งยกคำร้องโดยพิจารณาตามคำฟ้องที่ได้บรรยายว่าผู้ตายได้กระทำผิดด้วย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ เป็นการวินิจฉัยว่ามีเหตุที่จะอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์โดยอาศัยสิทธิตามคำฟ้องนั้นได้หรือไม่ มิใช่เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่จะถือเป็นยุติว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ดังนั้นในข้อหาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่ากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นประเด็นโดยตรงที่จำเลยถูกฟ้อง ยังต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามนัยบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้นการที่โจทก์มิได้เข้าเป็นคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่เกิดผลที่จะให้ศาลในคดีส่วนแพ่งไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่ศาลล่างทั้งสองถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในส่วนนี้จึงชอบแล้ว
ส่วนในกรณีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายของรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นเงิน 20,113 บาท กับค่าใช้จ่ายในการเดินทางของโจทก์เพื่อติดต่อสอบถามดำเนินการอันเนื่องมาจากเหตุรถชนกันเป็นเงิน 5,000 บาท นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทำละเมิดต่อตัวทรัพย์ของโจทก์หรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลย โดยเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับข้อหาที่จำเลยถูกฟ้องตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 43, 157 ที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ดังนั้น ในส่วนนี้โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญาดังกล่าวในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แต่เป็นกรณีที่ต้องฟังข้อเท็จจริงกันใหม่จากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบกันมาในสำนวนคดีนี้ที่ศาลล่างทั้งสองถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษา คดีส่วนอาญาในส่วนนี้ด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ แต่เนื่องจากในส่วนนี้ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่คู่ความได้นำสืบกันมาในสำนวนคดีนี้และเพื่อให้การวินิจฉัยคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาลประกอบกับผลคำพิพากษาของศาลล่างอาจเกี่ยวโยงไปถึงสิทธิของคู่ความในการอุทธรณ์ฎีกาข้อเท็จจริงได้ จึงเห็นสมควรให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีในส่วนนี้ใหม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่ยกฟ้องโจทก์ในข้อที่ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดเป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของโจทก์เสียหายและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางแล้วให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานจากสำนวนตามที่คู่ความนำสืบและพิพากษาใหม่เฉพาะส่วนดังกล่าวนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์