คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองออกเช็ค 5 ฉบับชำระหนี้ค่าบ้านที่ดินกับค่าหุ้นที่จำเลยซื้อจากโจทก์ ตามสัญญาซื้อขาย (เอกสารหมาย จ.3) โจทก์ได้รับเงินตามเช็คเพียง 1 ฉบับ ส่วนอีก 4 ฉบับ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็ค 4 ฉบับ พร้อมทั้งดอกเบี้ยจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์บังอาจเอาเช็คของจำเลยไปและได้นำเช็คไปขึ้นเงินแล้ว 1 ฉบับ จึงขอให้โจทก์คืนเงินและเช็คดังกล่าวให้จำเลย ปรากฏว่าโจทก์ได้ถูกอัยการศาลทหารฟ้องเป็นจำเลยและศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ลักเช็คทั้ง 5 ฉบับนั้นจากจำเลยที่ 2 ไปลงวันที่สั่งจ่ายแล้วนำไปขึ้นเงินที่ธนาคาร 1 ฉบับ นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินอีก 4 ฉบับ ทั้งที่โจทก์จำเลยมิได้มีมูลหนี้ต่อกันแต่อย่างใด และพิพากษาจำคุกโจทก์ศาลทหารกลางพิพากษายืน คดีถึงที่สุด ดังนี้ คดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ลักเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 ไปขึ้นเงิน โดยที่โจทก์จำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกันจำเลยจึงไม่ผูกพันจะต้องชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นประธานกรรมการของบริษัทจำเลยที่ ๑ มีอำนาจลงนามสั่งจ่ายเช็คแทนจำเลยที่ ๑ ได้ จำเลยที่ ๑ มีบัญชีเงินฝากที่ธนาคารแหลมทอง จำกัด บัญชีเดียวกับบัญชีเงินฝากของห้างหุ้นส่วนจำกัดติ่งเชียงฮวด หรือ เสรีอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๑๖ จำเลยทั้งสองได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารแหลมทอง จำกัด ลงวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๑๗ รวม ๕ ฉบับให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดิน กับค่าหุ้นของบริษัทจำเลยที่ ๑ ที่จำเลยซื้อจากโจทก์โจทก์ได้รับเงินจากธนาคารแล้ว ๑ ฉบับ แต่เช็คอีก ๔ ฉบับ รับเงินไม่ได้เพราะจำเลยสั่งระงับการจ่ายเงิน ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็ค ๔ ฉบับ รวม ๒๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๐๙๓ บาท ๗๕ สตางค์ และจากวันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดติ่งเชียงฮวดได้เลิกกิจการไปแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้โอนบัญชีเงินฝากของห้างหุ้นส่วนนี้มาเป็นเงินฝากของจำเลยที่ ๑ แต่ยังคงใช้ตราสารของห้างหุ้นส่วนฯ ประทับในเช็คตลอดมาสำหรับเช็คทั้ง ๕ ฉบับตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดติ่งเชียงฮวด ได้นำไปประกันเงินกู้ไว้กับผู้มีชื่อเมื่อประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว โดยมิได้ลงวันที่ในเช็ค ต่อมาเมื่อได้ชำระเงินกู้แล้วก็ขอรับเช็ค ๕ ฉบับมาเก็บไว้ที่สำนักงานห้างหุ้นส่วนฯ ดังกล่าว โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างอยู่ในห้างหุ้นส่วนนี้ได้บังอาจเอาเช็ค ๕ ฉบับไปกรอกวันที่เอาเองโดยพลการแล้วนำไปขึ้นเงินจากธนาคารและได้รับเงินไปแล้วหนึ่งฉบับเป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท อีก ๔ ฉบับทางธนาคารแหลมทอง จำกัด ได้สอบถามมาจำเลยที่ ๒ จึงทราบเรื่องและสั่งระงับการจ่ายเงิน จำเลยทั้งสองไม่ได้ซื้อบ้านและที่ดินตลอดจนหุ้นของบริษัทจำเลยที่ ๑ จากโจทก์แต่อย่างใด โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายและเช็คดังกล่าวมิได้ออกเพื่อชำระหนี้ กับตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑ ปีนับแต่วันออกเช็ค คดีขาดอายุความขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ให้คืนเงิน ๗๐,๐๐๐ บาทให้จำเลยที่ ๑ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีคิดถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน ๘๗๕ บาท กับจากวันฟ้องแย้งไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ และให้คืนเช็ค ๔ ฉบับให้จำเลยที่ ๑ ด้วย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าเช็คฉบับสั่งจ่ายเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท เป็นเช็คที่จำเลยจ่ายชำระค่าบ้าน ที่ดินและหุ้นดังกล่าวในฟ้องขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องและให้โจทก์ชำระเงิน ๗๐,๐๐๐ บาทแก่จำเลยที่ ๑ พร้อมดอกเบี้ย ให้โจทก์คืนเช็คเลขที่ ๕๔๓๓๗๘, ๕๔๓๓๗๙ ๕๔๖๓๐๗ และ ๕๔๖๓๒๓ แก่จำเลยที่ ๑ ด้วย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าเช็คพิพาททั้ง ๕ ฉบับ จำเลยทั้งสองออกให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่าที่ดิน บ้านและหุ้น ดังที่โจทก์นำสืบหรือเป็นเรื่องโจทก์ลักเช็คพิพาท ๕ ฉบับไปลงวันสั่งจ่ายแล้วนำเช็คไปขึ้นเงินดังที่จำเลยต่อสู้เรื่องนี้ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้วินิจฉัยไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๗/๒๕๑๘ ที่โจทก์ถูกอัยการศาลทหารกรุงเทพฟ้องเป็นจำเลยว่า จำเลยที่ ๒ ได้ออกเช็คพิพาททั้ง ๕ ฉบับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๗ แล้วให้โจทก์นำไปแลกเงินสดจากนายเม่งตง ต่อมาจำเลย

Share