คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2515

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องคดีอาญาขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ไว้แล้ว ต่อมาได้ไปฟ้องคดีแพ่งเรียกให้จำเลยชำระเงินตามเช็คฉบับพิพาทนั้นอีกสำนวนหนึ่ง แล้วได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพ่งโดยจำเลยยอมใช้เงินตามเช็คฉบับพิพาทให้แก่โจทก์ ศาลได้มี คำพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความ ได้ระบุไว้ชัดว่า โจทก์ยอมตามที่จำเลยยอมเลิกคดีเฉพาะส่วนแพ่งแสดงชัดว่าโจทก์จำเลยมิได้ประสงค์ที่จะยอมเลิกคดีอาญาต่อกัน จึงไม่เป็นผลให้สิทธิของโจทก์ที่จะดำเนินคดีอาญาระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โดยมีนายพรหม โพธิ์ทอง จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2513 เวลากลางวัน จำเลยทั้ง 2 ได้บังอาจร่วมกันออกเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาเชียงใหม่ 1 ฉบับหมายเลข พี.เอ 007646 สั่งจ่ายเงินสด 100,497 บาท เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อใบยาสูบให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 เซ็นชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายและประทับตราของบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่า บริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินในธนาคารอันจะพึงให้ใช้เงินตามเช็คโดยเจตนาทุจริต และจำเลยทั้ง 2 ได้ร่วมกันออกเช็คให้โจทก์เพื่อจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ครั้นต่อมาวันที่ 28 สิงหาคม2513 เวลากลางวัน โจทก์ได้นำเช็คดังกล่าวไปเบิกเงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาเชียงใหม่ โดยผ่านธนาคารกรุงเทพพาณิชยการจำกัด สาขาลำปาง เพื่อเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีของโจทก์ แต่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาเชียงใหม่ ปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินฝากในบัญชีของจำเลยมีไม่พอจ่าย เหตุเกิดที่ตำบลหนองหอย ตำบลช้างม่อยตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3(1), (2), (3)

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา

จำเลยทั้ง 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3(1), (2), (3) ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 30,000 บาท ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 3 เดือน จำเลยให้การเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้จำเลย 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 20,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 2 เดือนแต่ให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23

จำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้ง 2 ได้กระทำผิดดังฟ้องแต่ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้วตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 717/2513 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่ โจทก์ย่อมหมดสิทธิดำเนินคดีอาญาเรื่องเช็คกับจำเลยอีกนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวระบุไว้ชัดว่ายอมความกันในส่วนแพ่งเท่านั้น คู่ความไม่ประสงค์จะให้ระงับในทางอาญาด้วย โจทก์จึงดำเนินคดีสืบพยานต่อมา ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ 361/2503 ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกโจทก์นายเจียง แซ่อั้ง จำเลย ที่จำเลยกขึ้นอ้าง มีข้อเท็จจริงไม่เหมือนคดีนี้ คดีโจทก์ทางอาญาไม่ระงับไป พิพากษายืน

จำเลยทั้ง 2 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อโจทก์กับจำเลยได้ยอมความกันโดยจำเลยยอมใช้เงินตามเช็คฉบับพิพาทให้แก่โจทก์ในคดีแพ่งแล้ว สิทธิของโจทก์ที่จะดำเนินคดีอาญาย่อมระงับไป ตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 361/2503

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีได้ความว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2513 ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2513โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้ง 2 ต่อศาลเดียวกันเรียกให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันใช้เงินตามเช็คฉบับพิพาทให้แก่โจทก์ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 723/2513 ครั้นวันที่ 25 พฤศจิกายน 2513 เวลา 13.30 นาฬิกาจำเลยทั้ง 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ในสำนวนคดีแพ่งดังกล่าวว่า โจทก์จำเลยทั้ง 2 ตกลงยอมความในส่วนแพ่งโดยจำเลยที่ 1 ยอมใช้เงินตามฟ้องพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2513 ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ใช้ จำเลยที่ 2 ยอมใช้แทนและโจทก์ยอมตามที่จำเลยยอมเลิกคดีเฉพาะส่วนแพ่งกันตั้งแต่วันทำยอมเป็นต้นไป ศาลพิพากษาตามยอมในวันนั้น ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 717/2513 และในวันเดียวกันนั้นเวลา 15.00 นาฬิกา โจทก์ก็ได้เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ชั้นไต่สวนมูลฟ้องวันรุ่งขึ้น จำเลยทั้ง 2 ยื่นคำแถลงว่า โจทก์จำเลยยอมความกันในคดีแพ่งแล้ว คดีต้องเลิกกัน ขอให้จำหน่ายคดี ศาลชั้นต้นสั่งว่า โจทก์ยอมความกับจำเลยเฉพาะในคดีแพ่งเท่านั้น คดีอาญาโจทก์ยังประสงค์ดำเนินคดีต่อไป สิทธินำคดีอาญามาฟ้องยังหาระงับไปไม่ แม้จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวก็ตาม จำเลยทั้ง 2 ยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวไว้ ดังนี้

ศาลฎีกาเห็นว่า แม้คดีนี้จะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว การที่โจทก์และจำเลยทั้ง 2 ยอมความกันในคดีแพ่งโดยจำเลยทั้ง 2 ยอมใช้เงินตามเช็คฉบับพิพาทให้แก่โจทก์โดยในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ได้ระบุไว้ชัดว่า โจทก์ยอมตามที่จำเลยยอมเลิกคดีเฉพาะส่วนแพ่งนั้นแสดงชัดเจนว่าโจทก์จำเลยมิได้ประสงค์ที่จะยอมเลิกคดีอาญาต่อกัน จึงไม่เป็นผลให้สิทธิของโจทก์ที่จะดำเนินคดีอาญาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)คำพิพากษาฎีกาที่ 361/2503 ที่จำเลยอ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ฎีกาของจำเลยทั้ง 2 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยทั้ง 2

Share